เรื่องของไข่กินเท่าไหร่ถึงจะพอดี


สำหรับคนที่ไม่ชอบทานทานไข่เลย อาจส่งผลเสียต่อระบบเส้นประสาทสมองได้ สำหรับไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีส่วนประกอบของวิตามินบี12 ในปริมาณที่มาก ซึ่งมีความจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท

สรรพคุณของไข่ยังมีอีกมากมาย เช่น เป็นสารบำรุงสายตา โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟอง ต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่น เอง

นอกจากนี้ไข่ยังถือว่าเป็นยาบํารุงสำหรับร่างกายได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากไข่จะไปช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่อคุณอายุมากขึ้น อีกทั้งปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณเป็นคนอ้วนกลมอีกด้วย

จากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่าคนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบของอาหาร จะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าเลย ได้มากถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

ตามที่วารสาร American Journal of Clinical Nutrition ได้ตีพิมพ์ไว้ว่า ไข่ที่ว่าให้ผลดีต่อร่างกายของคนเรานั้น ก็สามารถส่งผลร้ายให้กับคนทานได้เหมือนกัน ถ้าหากว่าทานในปริมาณที่มากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดต่อกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทําให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ ในทางกลับกันถ้ามีการทานไข่ตั้งแต่ 7 ฟองขึ้นไปภายใน 1 สัปดาห์ จะทำให้เพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

เคล็ดลับต้านโรคหวัด


อากาศเดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงบ่อย ไม่รู้ว่าเกิดจากภาวะโรคร้อนหรือเปล่านะ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก ขาดก็แต่หิมะตกในเมืองไทยเท่านั้นแหละมั้งนี่ อากาศแบบนี้ทำให้เรามีโอกาสเป็นหวัดได้ง่ายๆ เลยล่ะ ฉะนั้นเรามาเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อสู้กับโรคหวัดกันดีกว่า ด้วยวิธีด้านหวัดง่ายๆ ง่ายกว่าการเป็นหวัดแล้วมานั่งรักษากันอีกนะคะ


- นอนหลับผักผ่อนให้เพียงพอ
มีหลายผลการวิจัยที่สรุปออกมาว่าการนอนหลับที่ไม่เพียงพอนั้น มักทำให้จำนวนเซลล์ในร่างกายที่มีส่วนทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ มีประสิทธิภาพลดลง ดังนั้นจึงควรนอนหลับสนิทในทุกๆ วัน

- ควรออกกำลังกาย การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบไหนก็ได้ ที่เราสามารถทำได้ต่อเนื่องกันทุกๆ วัน แค่วันละครึ่งชั่วโมง ก็สามารถช่วยเพิ่มเซลล์ที่เป็นภูมิป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย

- การล้างมือด้วยสบู่ การล้างมือเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจอย่างเป็นพิเศษ เพราะในช่วงระหว่างวันเรามีกิจกรรมมากมายหลายอย่าง ที่ทำให้มือเราไปสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการไอ จาม หรือเข้าห้องน้ำ การล้างมือด้วยสบู่ก็สามารถช่วยลดเชื้อโรคเหล่านี้ได้ก่อนที่เราจะหยิบจับอะไรเข้าปาก

- แยกเก็บแปรงสีฟัน การแยกเก็บแปรงสีฟันก็เป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนกัน ถ้าหากบ้านที่มีคนอาศัยอยู่ร่วมกันหลายคน แล้วมีคนใดคนหนึ่งป่วย ควรแยกแปรงสีฟันของคนป่วยออกจากของคนอื่นๆ ในบ้าน เพื่อไม่ให้เชื้อกระจายไปสู่คนอื่นๆ ได้ เมื่อหลังจากหายป่วยแล้ว ควรนำแปรงสีฟันไปจุ่มในน้ำเดือดเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคก่อนนำมาเก็บรวมกับคนอื่นๆ ต่อไป

- หมั่นซักผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดมือเป็นผ้าที่เรามักจะใช้เช็ดมือที่เราล้างสะอาดดี ดังนั้นควรจะเป็นผ้าที่ต้องซักให้สะอาดอยู่เสมอ การซักที่ดีควรซักในน้ำร้อน ทุกๆ 3-4 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เป็นหวัด ควรทำความสะอาดให้บ่อยขึ้น

- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะช่วยทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ในระบบทางเดินหายใจชุ่มชื้นขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปฝังตัวและยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

- เปิดหน้าต่าง การเปิดหน้าต่างยามเช้าหลังตื่นนอนเพื่อรับแดดอ่อนๆ และทำให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ช่วยขับไล่เชื้อโรคต่างๆ ที่มีอยู่ในห้องได้ด้วย แล้วยังทำให้ร่างกายได้รับสารจากธรรมชาติในอากาศเพื่อเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย

- การผ่อนคลาย การทำร่างกายและจิตใจให้ผ่อนคลาย สามารถช่วยลดความเครียด ทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิคุ้มกันได้ โดยการทำสมาธิ หลับตา หายใจลึกๆ คิดถึงแต่เรื่องดีๆ

- วิตามินซีจากธรรมชาติ ผักผลไม้บ้านเราที่มีขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดหรือในซุปเปอร์มาเก็ต เช่นพวก ถั่วเขียว ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ บร็อคโคลี่ แครอท กีวี ลูกเกด ดอกกะหล่ำ และกะหล่ำปลี จะมีสารจำพวกพฤกษเคมีอย่างวิตามินซีและแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและต้านโรคหวัดได้

การเลือกใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์



สำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสายตา แล้วหลีกเลี่ยงการใส่แว่นตามาเป็นใส่คอนแทคเลนส์แทน จะต้องรักษาความสะอาดและต้องทราบวิธีการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงจะได้ไม่มีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นกับการใส่คอนแทคเลนส์ และที่ต้องให้ความสำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือการเลือกใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ (Soaking Lenses) ซึ่งจะมีวางขายอยู่หลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะของการใช้งาน

1. แบบล้าง แช่ และกำจัดคราบโปรตีนแยกขวดกัน ส่วนมากมากน้ำยาประเภทนี้ จะสามารถชำระล้างและฆ่าเชื้อโรคได้ดีที่สุด มักจะมียาเม็ดที่ใช้แช่สำหรับล้างคราบโปรตีนทุกๆ เดือน ส่วนใหญ่น้ำยาชนิดนี้จะนิยมใช้กับเลนส์แบบที่ใส่ถาวร เพราะกำจัดคราบโปรตีนได้ดี

ข้อเสียคือ ในการล้างต้องล้างน้ำยาออกให้หมด ไม่เช่นนั้นอาจมีอาการแพ้จากสารประกอบในน้ำยา ทำให้ตาเจ็บและแดงได้ ถ้าเกิดอาการแบบนี้ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน ดังนั้นจึงไม่ค่อยสะดวกในการใช้งานสักเท่าไหร่

2. เลือกใช้แบบล้าง แช่ และกำจัดคราบโปรตีนในขวดเดียวน้ำ หรือที่เค้าเรียกกันว่า 3 in 1 น้ำยาในรูปแบบนี้ ค่อนข้างใช้ง่าย สะดวกและไม่ค่อยมีปัญหาเมื่อนำเข้าตา สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีพอสมควร น้ำยาชนิดนี้เหมาะสำหรับคอนเทคเลนส์ประเภทชั่วคราวหรือแบบใส่แล้วทิ้งเท่านั้น

ข้อเสียคือ
น้ำยาประเภทนี้ไม่สามารถล้างคราบโปรตีนติดแน่นออกได้หมด ทำให้เหลือคราบสกปรกไว้ ถ้าเราใช้กับเลนส์ประเภทใส่ถาวรอาจจะส่งผลเสียต่อดวงตาได้

3. เลือกใช้แบบ Hydrogen Peroxide
น้ำยาประเภทนี้มักแยกเป็น 2 ขวด ขวดแรกเป็นน้ำยาล้างเลนส์ก่อนฆ่าเชื้อ ขวดที่สองใช้ใส่ในขวดพิเศษพร้อมกับเลนส์ ส่วนมากอันนี้ต้องแช่ไว้ค้างคืน น้ำยาประเภทนี้ฆ่าเชื้อได้ดีมาก ใช้ได้กับคอนแทคเลนส์เกือบทุกชนิด

ข้อเสียคือ
ไม่ค่อยสะดวกในการใช้ งาน เพราะการใช้เวลาในแต่ละขั้นตอนนาน และเมื่อแช่เลนส์แล้วรีบเอามาใช้ทันทีไม่ได้ จำเป็นต้องแช่ให้ครบกำหนดเวลา ถ้านำเลนส์ออกมาใส่ก่อนครบกำหนดเวลาก็อาจทำให้ตาเจ็บ ตาแดง ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

วิธีกำจัดกลิ่นกายด้วยธรรมชาติ

















กลิ่นตัวเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เป็นกลิ่นที่สังคมรังเกียจ ถ้าวันไหนออกจากบ้านแล้วลืมทาโรลออนระงับกลิ่นกาย จะทำให้เรารู้สึกขาดความมั่นใจ แทบไม่อยากจะเข้าใกล้ใครเลยทีเดียว เค้าว่ากันว่า จริงๆ แล้วผู้หญิงจะเป็นคนที่กลิ่นตัวค่อนข้างที่จะแรงกว่ากลิ่นตัวของผู้ชาย แต่ที่ส่วนใหญ่เรามักจะพบว่าผู้ชายกลิ่นตัวจะเหม็นมากกว่า ก็เพราะว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับความสวย ความงาม และการดูแลรักษาความสะอาดตัวเอง วันนี้เราจึงมีวิธีบำบัดกลิ่นกายด้วยธรรมชาติมาฝาก ลองเปลี่ยนจากการใช้สารเคมีมาใช้ของที่มีอยู่กับบ้านเราดูนะคะ รับรองว่าได้ผลดีเกินคาด

1. หลังอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้ง ใช้ใบพลูที่กินกับหมากมาขยี้แล้วทารักแร้

2. ผสมปูนแดงกับน้ำเปล่าทารักแร้หลังอาบน้ำ (ใช้ปูนแดงไม่ต้องมาก เพราะปูนจะกัดเนื้อได้)

3. นำใบฝรั่งมาโขลกให้ละเอียดเอาแต่น้ำมาทารักแร้หลังอาบน้ำ

4. หลังอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งบีบน้ำมะนาวใส่ฝ่ามือแล้วทารักแร้รอให้แห้งก่อนแต่งตัว

5. หยดน้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ 2-3 หยด ลงในอ่างอาบน้ำ แล้วลงไปแช่ หรือผสมกับน้ำแล้วนำมาลูบบริเวณรักแร้แล้วใช้ผ้าซับให้แห้ง เนื่องจากสะระแหน่มีคุณสมบัติเป็นยาดับกลิ่นตามธรรมชาติ

6. ในขณะที่อาบน้ำทุกครั้งให้นำสารส้มมาทาบริเวณรักแร้ (สำหรับบางคนใช้สารส้มแล้วอาจทำให้รักแร้ดำขึ้น)

7. เอาสารส้มสะตุมาผสมกับพิมเสนอย่างละเท่าๆ กันแล้วบดให้ละเอียด ผสมกับดินสอพองหยดน้ำลงไปผสมนิดหน่อย ทาบริเวณรักแร้แล้วปล่อยให้แห้ง

โรคพังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ













คืออาการที่เกิดจากการที่เส้นเอ็นและเส้นประสาทใหญ่ที่เรียกว่า เส้นประสาทมีเดียน ลอดจากโพรงข้อมือไปยังฝ่ามือ เมื่อพังผืดเกิดการหนาตัวมากขึ้น หรือถ้าเกิดการอักเสบขึ้น ตัวพังผืดนั้นก็จะไปกดทับบริเวณเส้นประสาทที่ข้อมือ ทำให้เส้นประสาทเกิดอาการอักเสบ จนทำให้รู้สึกชาและปวดข้อมือ

อาการที่พบ
- เกิดการชาที่ฝ่ามือ โดยอาจจะมีอาการชาๆ หายๆ เหมือนการเป็นเหน็บชา แต่พอนานเข้าก็จะมีอาการบ่งบอกชัดขึ้น คือ จะเริ่มชาที่บริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง
- หลังจากนั้นอาการชาก็จะมีมากขึ้น แล้วยังพบว่ามีอาการปวดร้าวเกิดขึ้นตามมาด้วย และอาการก็ลามไปถึงแขนด้วย
- อาการปวดมักจะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน และจะมีอาการชามากเวลาขยับข้อมือ
- ถ้ามีอาการมากๆ มักจะทำให้มืออ่อนแรง อาจทำให้หยิบจับสิ่งของแทบไม่ได้ ถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้นานไม่ทำการรักษา กล้ามเนื้อก็จะอ่อนแรงและลีบผิดรูป ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก

การรักษา

วิธีการรักษา แพทย์จะแบ่งการรักษาออกเป็น 3 อาการอย่างคร่าวๆ
1. มีอาการชาอย่างเดียว
ถ้าพบเฉพาะอาการอย่างนี้ แพทย์มักจะแนะนำให้ปรับท่าทางการใช้ หรือพยายามให้หยุดใช้มือข้างที่เกิดอาการชานั้นสักพักหนึ่ง แล้วให้รับประทานยาแก้อักเสบเพื่อลดอาการ
2. มีอาการชาและมีอาการปวดร่วมด้วย
แพทย์จะทำการใส่เฝือกเพื่อผยุงข้อมือ เพื่อจะได้ลดการใช้มือลงบ้าง และจัดยาให้รับประทานร่วมด้วย
3. มีอาการชามากและปวดมาก
แพทย์อาจะต้องทำการฉีดยาแก้อักเสบที่โพรงข้อม้อ และให้รับประทานยาร่วมด้วยอาจจะต้องมีการฉีดยาแก้อักเสบที่โพรงข้อมือ แต่ถ้ายังไม่เห็นผลแพทย์อาจจะวินิฉัยให้มีการผ่าตัดเพื่อทำการรักษาต่อไปตามความเหมาะสม

5 สุดยอดอาหารลดน้ำหนัก
















คุณรู้หรือไม่ว่าการเลือกกินอาหารก็เป็นหนทางหนึ่งของการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีด้วย โดยไม่ต้องมานั่งอดอาหารให้ทรมาน หรือว่าเสาะหายาลดความอ้วนมาทานให้เป็นผลเสียต่อสุขภาพและเสียเงินเสียทองไปมากมายโดยใช่เหตุ เราสามารถเลือกกินอาหารที่สามารถไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการเผาผลาญ และลดความอยาก มาดูกันเลยว่าอาหารอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราผอมเพรียวลงได้

1. เต้าหู้ ด้วยผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนา สหรัฐอเมริกา ได้พบว่า การกินเต้าหู้ 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนการกินอาหาร สามารถช่วยลดความอยากอาหารได้ถึง 42 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

2. ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัต อัลมอนด์ ถึงแม้ว่าเราจะรู้กันดีว่าถั่วหนึ่งกำมือจะมีแคลอรีสูงถึง 165 กิโลแคลอรี แต่ทางผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย Purdue แห่งสหรัฐอเมริกากลับพบว่า การกินถั่วเปลือกแข็งจะช่วยไปกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญได้ดีเพิ่มขึ้นอีก 11 เปอร์เซ็นต์และสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย

3. ลูกแพร์ นอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงแล้ว ผลการวิจัยในบราซิลยังพบว่า สตรีที่กินลูกแพร์ขนาดเล็กหลังมื้ออาหาร เป็นเวลานาน 2 เดือน สามารถทำให้น้ำหนักลดลงถึง ½ กิโลกรัม

4. พริก จากผลการวิจัยในประเทศญี่ปุ่นได้พบว่า สารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่มีอยู่ในพริกสามารถช่วยลดความอยากอาหารได้

5. น้ำส้มสายชูวินิการ์ ผลการวิจัยจากประเทศสวีเดนพบว่า หากคนเรากินน้ำส้มสายชูวินิการ์พร้อมมื้ออาหาร กรดอะซิติกในน้ำส้มสายชูจะไปช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานช้าลง จึงทำให้อิ่มนานขึ้น

อาหารสำหรับคนที่ชอบนอนดึก












คนเราควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ถ้าหากคนที่ชอบนอนดึกเป็นประจำ จะทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายมีปัญหา เพราะการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ทำหน้าที่สกัดกั้นความอยากอาหารได้น้อยลง แต่จะผลิตเกรลิน(Ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นความอยากอาหารมากขึ้น การนอนหลับไม่เพียงพอยังเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเผาผลาญอาหาร และทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่ออินซูลิน(Insulin) ผิดปกติ ทั้งนี้อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับอัตราความเร็วในการดูดซับไขมันของร่างกาย แต่ถ้าหากมีความจำเป็นต้องนอนดึกแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เรามีวิธีแนะนำเกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหารดังต่อไปนี้มาฝาก

- งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว, เนื้อหมู, ไก่ ซึ่งย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก หากอยากรับประทานเนื้อสัตว์ ควรบดเคี้ยวให้ละเอียด เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้

- ควรดื่มน้ำอุ่นๆ เช่นดื่มน้ำขิงผสมน้ำผึ้งอุ่น น้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น หรือน้ำอุ่นธรรมดาซัก 1 แก้วก็ได้

- ควรเลือกทานอาหารประเภทเบาๆ ในมื้อดึก ถ้าคิดจะทาน อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ และ เนื้อปลา ซึ่งดีต่อสุขภาพมากกว่า

- ในเวลานอนหลับ ควรทำให้ช่วงท้องและฝ่าเท้าอบอุ่นด้วยทุกครั้ง โดยการห่มผ้าและใส่ถุงเท้า

- การดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอัดลมเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง
เพราะจะเพิ่มภาระให้ระบบการทำงานภายในร่างกาย เนื่องจากร่างกายต้องการความร้อนเพื่อช่วยย่อยอาหาร

งานวิจัยในประเทศญี่ปุ่น พบว่า เนื้อลำไยแห้งช่วยระงับประสาทที่อ่อนเพลียจากการตรากตรำทำงานหนัก ลดอาการเครียด กระวนกระวาย นอนไม่หลับ “ถ้านำ ลำไยอบแห้ง ไปต้มแล้วดื่มแต่น้ำก่อนนอน…ช่วยให้หลับสบาย”

เลือกกินอย่างไรให้ร่างกายเผาผลาญดี
















สิ่งที่มันฟ้องว่าระบบการเผาผลาญของร่างกายเริ่มทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ จะสังเกตได้จาก น้ำหนักตัวที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และจะปรากฏเซลลูไลท์ตามหน้าท้อง แขน ขา สะโพก การออกกำลังกายก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินเหล่านี้ออกไป แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยในเรื่องการทำงานของระบบเผาผลาญดีขึ้น ทำให้คุณคงความหุ่นสวยปราศจากไขมันส่วนเกินและเซลลูไลท์ได้ ก็คือการเลือกกินอย่างถูกต้อง

- เน้นทานจำพวกโปรตีนและผักให้มากขึ้น
การย่อยอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นกิจกรรมที่ร่างกายต้องใช้พลังงานอย่างมาก ฉะนั้นการกินเนื้อปลา เนื้อหมูที่ไม่ติดมัน และเนื้อไก่ไม่ติดหนัง ก็จะช่วยในเรื่องเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แต่อย่าลืมว่าโปรตีนที่เหลือจากที่ร่างกายนำไปใช้งานจะกลายเป็นไขมัน ดังนั้นอย่ากินในปริมาณที่มากจนเกินไป ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงก็มีความสำคัญมาก เพราะวิตามินซีจะมีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานได้เป็นอย่างดี และสามารถทานในปริมาณที่มากๆ ได้ด้วย

- ลดปริมาณ แป้ง น้ำตาลและไขมัน การกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงมากๆ จะทำให้ปริมาณอินซูลินในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ระบบการเผาผลาญไขมันในร่างกายลดลง นอกจากนี้การกินไขมันปริมาณมาก ก็ยังทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานเชื่องช้าลงไปอีกด้วย

- ควรกินในปริมาณน้อยแต่บ่อยมื้อขึ้น
การกินในแต่ละมื้อในปริมาณที่น้อย โดยแบ่งออกเป็นมื้อย่อยๆ หลายมื้อ เช่น เช้า สาย กลางวัน บ่าย เย็น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายได้มีกิจกรรมในการย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานตลอดทั้งวันอย่างต่อเนื่อง

- ดื่มน้ำให้มากๆ
เพราะร่างกายของคนเรามีความจำเป็นต้องใช้น้ำในกิจกรรมย่อยอาหาร ฉะนั้นการดื่มน้อยอาจทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งระบบเผาผลาญพลังงานกิดการติดขัดได้

รู้เรื่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก่อนทาน














สำหรับเด็กชาวหอ หรือว่าใครก็ตามที่ชอบทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารหลักหรือว่าไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงไม่ทานไม่ได้ ก็ควรรู้จักเลือกและทานอย่างถูกวิธี ก่อนอื่นเรามารู้ลึกถึงส่วนประกอบของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันก่อน ส่วนประกอบหลักจะเป็นแป้งสาลีถึง 60-70% ส่วนอีก 15-20% เป็นไขมันซึ่งจะมีอยู่ในเครื่องปรุง ที่เหลืออีก 5-6% ก็จะเป็นเกลือและผงชูรสทั้งนั้น ถ้าใครที่ทานบะหมี่สำเร็จรูปมากกว่า 1 ห่อต่อวัน ร่างกายก็จะได้รับปริมาณโซเดียมเกินความต้องการถึง 50-100% ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อไต และยังจะทำให้ความดันโลหิตสูงอีกด้วย

กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้คำแนะนำไว้สำหรับใครที่อยากจะทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยที่ร่างกายจะได้รับประโยชน์ ก็ต้องทำตามวิธีดังต่อไปนี้

- ไม่ควรที่จะทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบๆ เพราะตัวบะหมี่เมื่อไปถึงกระเพาะ ก็จะดูดซับน้ำในกระเพาะแล้วจะพองตัว อาจทำให้ท้องอืดและปวดท้องได้

- เดี๋ยวนี้ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จได้มีการเพิ่มสารไอโอดี ธาตุเหล็กและวิตามินเอเข้าไปด้วย เราควรเลือกทานบะหมี่ประเภทนี้ โดยเขาจะเขียนกำกับไว้หน้าห่อ

- ในการทานทุกครั้งควร ใส่ผัก เนื้อสัตว์ต่างๆ และไข่ลงไปด้วยเพื่อเพิ่มสารอาหารและป้องกันร่างกายไม่ให้รับสารโซเดียมมากเกินไป

- และที่สำคัญที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับไตและเกิดโรคความดันโลหิต จึงไม่ควรทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากกว่า 1 ห่อต่อวัน

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน