อันตรายจากสีผสมอาหาร


คุณรู้หรือไม่ว่าอาหารสีสรรสวยงามที่มีวางขายในท้องตลาด สามารถทำให้คุณเสียชีวิตได้ถ้าคุณซื้อทานบ่อยๆ หรือว่าหากทานในปริมาณที่มาก เพราะผู้ผลิตสมัยนี้หาคนที่มีสำนึกรับผิดชอบได้น้อยมาก คนที่จะรู้สึกห่วงใยในสุขภาพของผู้บริโภค ว่าอะไรที่มีอันตรายต่อผู้บริโภค อะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทานได้ ไม่เคยคำนึงถึง คิดแค่เพียงว่าทำยังไงถึงจะขายได้ ทำยังไงถึงจะลดต้นทุนได้ ฉะนั้นผู้ที่จะใส่ใจในเรื่องนี้คงจะต้องเป็นผู้บริโภคอย่างเราๆ แล้วล่ะ ที่จะต้องมาทำความรู้จักกับอันตรายของสีที่ใช้ผสมลงไปในอาหารของเราแล้วจะก่อให้เกิดอันตรายถึงกับชีวิตของเราได้

1. อันตรายจากสารเคมีที่เป็นสี อาจเป็นสาเหตุให้เกิดเนื้องอกหรือมะเร็งที่อวัยวะในระบบทางเดินอาหารและกระเพาะปัสสาวะ

2. อันตรายจากโลหะหนักที่ปะปนอยู่ในสี ได้แก่ ตะกั่ว สารหนู เนื่องจากสีที่ไม่ใช่สีผสมอาหาร จะไม่มีการควบคุมปริมาณโลหะหนัก การได้รับโลหะหนักเข้าไปในร่างกายมากๆ หรือเป็นประจำ จะเกิดการสะสมพิษในร่างกายอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
- พิษจากสารหนู เมื่อเข้าไปในร่างกายจะสะสมในกล้ามเนื้อ กระดูก และผิวหนังเป็นส่วนมาก และมีการสะสมในตับและไตด้วย เมื่อมีสารหนูสะสมในร่างกายมากจะทำให้มีอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารดลหิตจาง หากได้รับสารหนูปริมาณมาก ในครั้งเดียว จะเกิดพิษต่อร่างกายทันที มีอาหารปากและโพรงจมูกไหม้เกรียมแห้ง ทางเดินอาหารผิดปกติ กล้ามเนื้อเกร็ง เพ้อคลั่ง นอกจากนี้อาจพบว่าหน้าบวม หนังตาบวมด้วย
- พิษของสารตะกั่ว ตะกั่วมีพิษต่อระบบประสาททั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง อาจทำให้เสียชีวิตใน 1-2 วัน อาการพิษเรื้อรังจะพบเส้นตะกั่วสีม่วงคล้ำที่เหงือกมือตก เท้าตก เป็นอัมพาต มีความผิดปกติของทางเดินอาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาการทางประสาทอาจพบชักเกร็ง

3. อันตรายจากสีผสมอาหารสังเคราะห์ที่ใช้ผสมในปริมาณมาก ถึงแม้สมัยนี้จะมีการพัฒนาขบวนการผลิตอย่างไรก็ตาม แต่ยังคงมีปริมาณโลหะหนักปนเปื้อนอยู่ในปริมาณเล็กน้อยอยู่ดี แต่หากใช้สีผสมอาหารในปริมาณมากๆ และเป็นประจำอาจทำให้ร่างกายได้รับปริมาณได้รับปริมาณโลหะหนักมากขึ้น และมีการสะสมในร่างกายอาจทำให้เกิดอาการเป็นพิษจากโลหะหนัก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนั้นทางที่ดีควรเลือกใช้สีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติจะดีกว่า

วิธีบรรเทาอาการเข่าเสื่อม


คนเราเมื่ออายุมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็จะเริ่มรุมเร้า อย่างที่เห็นได้ชัดในวัยผู้สูงอายุ ก็จะเกิดอาการโรคเข่าเสื่อม ถ้าอาการกำเริบขึ้นมาทีไรจะเดินจะเหินแต่ละครั้ง ก็จะรู้สึกว่ามันทรมานมากๆ แต่เรามีวิธีบรรเทาอาการด้วยใบโหระพามาฝาก

โรคเข่าเสื่อม(Degenerative knee) เป็นโรคที่เกิดจากภาวะที่กระดูกอ่อนของข้อเข่าสึกหรอ ฉีกขาด จนทำให้ระบบหล่อลื่นของข้อไม่สามารถหล่อลื่นข้อเข่าให้ใช้งานเป็นปกติได้ ในบางครั้งอาจจะมีหมอนรองกระดูกฉีกขาดร่วมด้วย เมื่อกระดูกอ่อนสึกหรอจนถึงกระดูกแข็ง จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเข่าเวลาลงน้ำหนักเข่าขณะเดิน หรือ ขึ้นลงบันได

อย่างที่เราๆ รู้กันอยู่แล้วว่าใบโหระพามีสรรพคุณ คือ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง หรือนำมาผลิตเป็นน้ำมันหอมระเหย นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณอีกอย่างหนึ่ง คือ สามารถรักษาโรคเข่าเสื่อมได้

ดังนั้นเราจะนำใบโหระพามาบรรเทาอาการเข่าเสื่อมกัน โดยวิธีการถอนต้นโหระพาทั้งต้นไม่ต้องเด็ดรากทิ้งประมาณ 1 กำมือ จากนั้นนำไปล้างให้สะอาด เอามาตำพอละเอียดผสมกับเหล้าขาว 40 ดีกรี ในปริมาณเล็กน้อยคนให้เข้ากัน เทใสหม้อยกขึ้นตั้งไฟแค่พอร้อน แล้วยกลงทิ้งไว้ให้อุ่น จากนั้นนำไปพอกเข่าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ควรทำอย่างนี้วันละ 1-2 ครั้ง ก็จะสามารถช่วยบรรเทาอาการได้

แต่คุณควรหาเวลาไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาอาการเพื่อที่อาการจะได้หายขาดหรือทุเลาลงอย่างเห็นผลได้ชัดกว่า

9 วิธี ป้องกันแสงแดดให้ได้ผล



อย่างที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าช่วงหน้าร้อนทีไร บ้านเราแดดก็แรงทุกที แล้วยิ่งเข้ามาปีนี้ก็ร้อนหนักกว่าทุกๆ ปี เรื่องแสงแดดก็ไม่ต้องพูดถึง แทบไม่มีใครอยากออกจากบ้านไปไหนกันเลย แสงแดดเป็นบ่อเกิดของอันตรายต่างๆสำหรับผิวหนังเช่น ฝ้า กระ หูด มะเร็งผิวหนัง และที่สำคัญมากๆ ก็คือทำให้ผิวคล้ำอีกด้วย ฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องป้องกันไม่ให้แสงแดดมาทำลายผิวของเรา ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

1. ก่อนที่จะออกเผชิญกับแสงแดดทุกครั้ง ควรทาครีมกันแดดล่วงหน้า 30 นาที แล้วทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง และที่สำคัญคือทุกครั้งหลังว่ายน้ำควรจะทาครีมกันแดดซ้ำอย่างน้อยอีก 1 ครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันผิวอีกชั้นหนึ่ง

2. ในการเลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับกิจกรรมทางน้ำ ควรเลือกชนิดที่มีเขียนกำกับไว้ว่า Water Proof (ที่จะกันแดดได้นาน 80 นาที) และ Water Resistant (จะกันแดดได้นาน 40 นาที) ทุกครั้ง

3. ควรทาครีมกันแดดซ้ำบ่อยๆ และให้ทาเลยไปที่บริเวณลำคอและแขนด้วย เพื่อแสงแดดจะไม่ได้ทำลายความสมดุลของสีผิวในบริเวณใกล้เคียงกันเพื่อให้เกิดความแตกต่าง

4. สำหรับการเติมครีมกันแดดในระหว่างวันโดยไม่ต้องล้างหน้านั้น ให้ใช้กระดาษทิชชู่ซับเหงื่อซับความมันออกจากหน้าเสียก่อน โดยใช้นิ้วกลางป้ายครีมมาแตะๆ ให้ทั่วหน้า แทนการละเลงครีมไปทั่วหน้า ก่อนจะทาแป้งซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

5. หลังจากตากแดดแรงๆ ควรดื่มน้ำเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ (Dehydrated) ส่วนไหนของร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดแรงๆ เป็นเวลานาน ควรจะทา After Sun ที่ช่วยให้บรรเทาอาการแสบร้อน เลือกที่มีส่วนผสมของวิตามินอีและว่านหางจระเข้ และไม่ควรโดนแดดแรงๆ อีกสักพัก

6 ควรแยกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเฉพาะจุดที่กำหนด
เช่น ใช้ทาหน้า ทาตัว ทามือ และที่สำคัญควรตรวจสอบวันเดือนปีที่ผลิตและ หมดอายุด้วย ควรเลือกวันที่ผลิตจนถึง ณ ปัจจุบันมีอายุไม่เกิน 1 ปี

7 การดูแลผิวกลายที่สัมผัสกับแสงแดดมากๆ จนเป็นสีชมพูเข้ม จนรู้สึกร้อนและไหม้ ให้ประคบผิวบริเวณนั้นด้วยน้ำเย็นผสมนมสด ห้ามใช้น้ำแข็งประคบเพราะจะทำให้ยิ่งไหม้ จากนั้น ชโลมผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของอโลเวรา และไม่ควรใช้สบู่ หรือครีมอาบน้ำถูโดยเด็ดขาด

8. แต่ในกรณีที่ผิวเป็นสีแดงจัด และเป็นรอยย่นจนเห็นได้ชัด ควรอาบน้ำและชโลมผิวเหมือนข้อ7 ทานยาแอสไพรินทุกๆ 4 ชั่วโมง จากนั้นให้ไปพบแพทย์ แต่ถ้าพบว่ามีผิวเป็นสีแดง มีตุ่มน้ำใสๆ มีไข้ หนาวสั่น ให้ทานยาแอสไพรินแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที

9. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ก่อนออกจากบ้าน ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาพอที่จะป้องกันแสงแดดที่ส่องผ่านเข้าสู่ผิวหนัง รวมทั้งแว่นตาป้องกันรังสี UVB อันเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นบริเวณหนังตาที่บอบบางและไวต่อแสงเป็นพิเศษ รวมทั้งถุงมือที่ช่วยป้องกันบริเวณหลังมือที่มักเป็นตำแหน่งที่เกิดมะเร็งผิวหนังมากที่สุดเช่นกัน จะให้ดีควรพกร่มที่ป้องกันแสง UV ทุกครั้งที่ออกจากบ้านจะเป็นการดีที่สุด

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน