รู้ไหม...ทำไมถึงต้องปวดฟัน


โดยทั่วๆ ไปแล้วสาเหตุของการปวดฟันจะมีปัญหา มาจากฟันผุเป็นส่วนใหญ่ หากว่ารูผุในฟันนั้นไม่ลึกมากเกินไปก็จะมีแค่อาการเสียวฟัน แต่ถ้ารูผุลึกเข้าไปใกล้โพรงประสาทฟันหรือทะลุโพรงประสาทฟัน ก็จะเริ่มมีอาการปวดอยู่บ่อยๆ ปวดบ้างเล็กน้อยเป็นบางครั้งไปจนถึงปวดมาก และปวดอยู่ตลอดเวลา บางครั้งยาแก้ปวดไม่สามารถช่วยบรรเทาได้

สำหรับฟันเป็นหนองปลายราก เมื่อฟันผุมากแล้วไม่ได้รับการรักษาจากทันตแพทย์ ก็จะทำให้เชื้อ Bacteria สามารถเข้าไปจนเกิดหนองปลายรากฟัน หนองที่มีอยู่ปลายรากมากนั้นก็เกิดแรงดัน ทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง หรือเมื่อมีอะไรมากระทบฟันก็จะมีอาการปวด

ฟันเป็นโรคเหงือกอักเสบ เกิดจากมีการละลายตัวของกระดูกรอบๆ รากฟันเป็นที่กักขังของเชื้อ Bacteria ทำให้เป็นหนองรอบรากฟัน ฟันจะโยก ทำให้เกิดเสียวฟัน และมีอาการเจ็บปวดได้

ส่วนการเกิดฟันร้าวหรือฟันแตก อาจมีโอกาสที่โพรงประสาทฟันส่วนที่ติดต่อกับภายนอกผ่านรอยร้าวได้ เมื่อเราดื่มน้ำร้อนหรือว่าน้ำเย็นจัด ก็ส่งผ่านจากรอยร้าวนั้นเข้าถึงโพรงประสาทฟันทำให้เกิดอาการปวดได้

เศษอาหารติดฟัน ในกรณีฟันห่าง ฟันผุด้านข้างเป็นรูขนาดใหญ่ เป็นโรคเหงือกอักเสบ ฟันโยก มีช่องว่างระหว่างฟัน เวลาเคี้ยวอาหารชิ้นใหญ่ๆ เช่น เนื้อก้อนใหญ่ เวลาไปอัดตรงช่องว่างเหล่านี้มันจะกดให้เหงือกช้ำ เป็นที่สะสมของแบคทีเรีย จะทำให้เราปวดเหงือกและปวดฟันบริเวณนี้มาก

ดังนั้นเราต้องหมั่นดูแลฟันของเราให้สะอาด โดยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ ควรหมั่นทำการขูดหินปูนอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อลดการเกิดฟันผุหรือเหงือกอักเสบได้ หากเกิดอาการปวดฟันหรือเสียวฟัน ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยว่าเกิดจากสาเหตุใด

มาลดโคเลสเตอรอลด้วยอาหารกันเถอะ


สำหรับคุณผู้หญิงที่ตรวจพบว่าตัวเองกำลังมีปัญหาโคเลสเตอรอลในเลือดสูง ก็ทำให้เกิดอาการวิตกกังวล เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การมีโคเลสเตอรอล ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดแดงอุดตัน และโรคหัวใจขาดเลือด ได้ง่าย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเรารู้จักเลือกทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เราก็สามารถหายจากการเป็นโรคนี้ได้ เราจึงมีวิธีที่จะช่วยป้องกันและมีวิธีช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดมาฝาก เพื่อคุณๆ ทั้งหลายจะได้นำไปใช้เพื่อให้ตัวเองมีสุขภาพที่ดีขึ้น

1. ควรทานโคเลสเตอรอลได้ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม

เช่นอาหารประเภท ไข่แดง เครื่องในสัตว์ และไขมันสัตว์ ล้วนเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย "โคเลสเตอรอล" คงเป็นเรื่องยากที่เราจะปฎิเสธอาหารประเภทนี้ได้ในแต่ละวัน แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทานในปริมาณที่น้อยเข้าไว้ โดยทานวันละไม่เกิน 200 มิลลิกรัม โดยเฉพาะไข่หากใครชอบทานไข่มาก ก็ควรเลือกทานเฉพาะไข่ขาว เพราะในไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอลที่จะไม่ไปเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลในร่างกายให้สูงขึ้น

2.หลีกเลี่ยงทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง

อาหารประเภทที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมัน หรือไขมันทรานส์ ที่มีมากในเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม อาหารฟาสต์ฟู้ด คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ จะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในร่างกายสูงขึ้นขึ้นไปด้วย และเมื่อระดับโคเลสเตอรอลสูง ก็จะทำให้มีโอกาสการเป็นโรคหัวใจได้อย่างแน่นอน

3.ควรเลือกทานอาหารที่มีเส้นใยหรือมีไฟเบอร์

อาหารที่มีเส้นใยหรือไฟเบอร์มาก ๆ เช่นพวก ข้าวโอ๊ต ถั่ว แอปเปิ้ล ลูกพรุน มะเขือเทศ กระเจี๊ยบ ฯลฯ เส้นใยในอาหารเหล่านี้ จะไปช่วยดูดซับโคเลสเตอรอลที่ปนอยู่ในน้ำดีในลำไส้ ทำให้สามารถผลักดันโคเลสเตอรอลให้ออกไปจากร่างกายพร้อมกับอุจจาระที่ขับถ่ายออกไปได้โดยง่าย ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทานอาหารประเภทนี้ให้มากที่สุด

4.เลือกทานปลาทะเล

เพราะในปลาทะเลจะประกอบด้วย โอเมก้า 3 ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ในเส้นเลือด และยังลดโอกาสในการเกิดภาวะเลือดจับตัวกันเป็นลิ่ม หรือที่เรียกกันว่าภาวะอุดตันในเส้นเลือดได้ด้วย คุณสมบัติของโอเมก้า 3 จึงมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นเราจึงควรเลือกทานปลาทะเล ประเภท ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ฯลฯ จะดีกว่าการทานปลาหมึกหรือว่ากุ้ง

5. ควรทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงอย่างสม่ำเสมอ

อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง จะอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นอย่างกรดไลโนเลอิค และกรดอัลฟาไลโนเลอิค ซึ่งจะไปช่วยให้โคเลสเตอรอลได้มีการเผาผลาญที่ตับมากขึ้น จึงช่วยลดปริมาณ โคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี หรือ LDL ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังไปช่วยเพิ่ม โคเลสเตอรอลชนิดดี หรือ HDL ไปพร้อม ๆ กันด้วย

ประโยชน์ของการกินแตงโม



แตงโมช่วยลดความอ้วนได้ จากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Nutrition ได้บอกไว้ว่า กรดอะมิโนที่ชื่อ Arginine ที่มีอยู่มากมายในแตงโมสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ โดยนักวิจัยได้ให้อาหารเสริม Arginine แก่หนูที่มีน้ำหนักเกินเป็นเวลาติดต่อกันกว่าสามเดือน และพบว่ามันช่วยลดปริมาณไขมันในร่างกาย ลงได้ถึง 64 % เลยทีเดียว การเติมกรดอะมิโนตัวนี้กับอาหารช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและกลูโคส แล้วยังเพิ่มกล้ามเนื้อที่เผาผลาญแคลอรีมากกว่า ส่วนไขมันในแตงโมก็มีแค่ 96 แคลอรี่เท่านั้น ฉะนั้นการกินแตงโมที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ จะช่วยทำให้เราอิ่มได้เร็วขึ้น และไม่ต้องกินอาหารอื่นๆ เพิ่มอีก

นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ ด้วยคือ นอกจากนี้แตงโมยังมีสรรพคุณที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะจากการดื่มน้ำแตงโมจะช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายสามารถใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แตงโมยังเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะไปช่วยในการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ในการรับประทานแตงโม ไม่ใช่แค่ว่าจะดื่มแต่งน้ำแตงโมอย่างเดียว เราควรกินเนื้อของแตงโมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวที่อยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่ค่อยหวานซักเท่าไหร่ แต่กลับมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว

สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะตึงเครียด แตงโมก็สามารถช่วยคลายความเครียดได้ด้วย เพราะในแตงโมงจะเต็มไปด้วยโพแทสเซียม ที่จะไปช่ยวยควบคุมอัตราความดันโลหิต การกินแตงโมเข้าไปก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี และรู้สึกสบายใจขึ้น เห็นไหม๊ล่ะคะว่าประโยชน์ของแตงโมมีอยู่มากมาย ทีนี้เราควรหันมากินแตงโมกันดีกว่านะคะ

10 โรคร้ายมากับหน้าฝน


ในช่วงฤดูฝน สภาพอากาศมักเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวอากาศก็ร้อนเดี๋ยวฝนก็ตก พอมีมรสุมเข้าก็ทำให้ฝนตกติดต่อกันหลายวันจนเกิดน้ำท่วมขัง ทำให้โรคติดต่อต่างๆ สามารถแพร่เชื้อได้โดยง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอควรดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ โรคติดต่อที่จะมากับหน้าฝนก็มีดังนี้

1. โรคมาลาเรีย เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัว โดยมียุงก้นปล่องพาหะนำโรค เมื่อถูกยุงนำเชื้อกัดประมาณ 15–30 วันจะทำให้มีอาการป่วย ต้องรีบนำผู้ป่วยพบแพทย์เพื่อตรวจและทำการรักษาโดยเร็ว หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคชนิดนี้

2. โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส มียุงลายเป็นพาหะนำโรค เมื่อถูกยุงที่มีเชื้อกัดแล้วมีอาการต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อให้รีบพบแพทย์ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างท่วงทันอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

3. โรคไข้สมองอักเสบ เจ อี เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรค มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำที่เป็นทุ่งนา ซึ่งยุงรำคาญได้รับเชื้อจากการกินเลือดสัตว์ เมื่อกัดคนจะปล่อยเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงอาจไม่รู้สึกตัวและเสียชีวิต บางรายรักษาหายแล้วแต่เกิดความพิการทางสมอง สติปัญญาเสื่อม หรือเป็นอัมพาตได้

4. โรคเลปโตสไปโรซิส เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในฉี่หนูหรือสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข สุกร โค กระบือ สัตว์ป่าและสัตว์ฟันแทะ โดยเชื้อจะปนเปื้อนอยู่ในน้ำและสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน โคลน แอ่งน้ำ ร่องน้ำ น้ำตก ที่ชื้นแฉะมีน้ำท่วมขัง เมื่อเดินย่ำน้ำหรือเล่นน้ำเป็นเวลานานๆ เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เปื่อยยุ่ย บาดแผล รอยถลอก รอยขีดข่วน เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา เยื่อบุในช่องปาก และอาจติดเชื้อจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำปนเปื้อนฉี่หนู หากติดเชื้อและและทิ้งไว้เป็นเวลานานอาจทำเสียชีวิตได้

5. โรคติดต่อในระบบทางเดินอาหาร เป็นโรคที่มักจะติดต่อผ่านทางน้ำและทางอาหารโดยเฉพาะในช่วงที่มีน้ำท่วมนี้ ก็จะมีโรคท้องเดินหรือโรคอุจจาระร่วง โรคบิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ และตับอักเสบ หากเราเกิดรับประทานอาหารและดื่มน้ำปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป หรือรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ

6. โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในอากาศจากการไอ จาม หรือมือที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะ กลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็กต่ำกว่า 5 ขวบ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากเมื่อเป็นโรคปอดบวมอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

7. โรคเยื่อตาอักเสบ หรือตาแดง เกิดจากเชื้อไวรัส โดยเชื้ออยู่ในน้ำตาและขี้ตา ติดต่อโดยการสัมผัสใกล้ชิด หรือใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน การใช้น้ำไม่สะอาดล้างหน้า อาบน้ำ ถูกน้ำสกปรกที่มีเชื้อโรคกระเด็นเข้าตา หรือการใช้มือ แขน และเสื้อผ้าสกปรกขยี้ตา หรือเช็ดตา

8. โรคน้ำกัดเท้า เกิดจากเชื้อรา สาเหตุมาจากการทำงานที่ต้องลุยอยู่ในน้ำสกปรกนานๆ ทำให้ผิวหนังซอกนิ้วเท้าแดง ขอบนูนเป็นวงกลม คัน หากเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองเยิ้ม

9. อันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง หนีมาหลบอาศัยในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะช่วงที่มีน้ำท่วมขัง

10. โรคอาหารเป็นพิษจากเห็ดพิษ จากรายงานการเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดพิษทุกปี โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูฝน ตั้งแต่เดือน พ.ค. – พ.ย. ด้วยการรับประทานเห็ดที่ขึ้นเองในป่า สวน ไร่ หรือเห็ดขึ้นเองตามธรรมชาติ ส่วนมากพบในภาพเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เคล็ดลับสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม


ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์มักจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม ประสิทธิภาพทางด้านความคิดและความจำมักจะบกพร่อง บายรายไม่สามารถควบคุมการทำงานของระบบร่างกายตัวเองได้ เช่น ไม่ยอมทานอาหาร หรือบางทีก็ทานทั้งวันไม่ยอมหยุด บางรายก็ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะและอุจจาระได้ และบางรายกมักจะมีอาการประสาทหลอนและหลงละเมอ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ลูกหลานควรจะเป็นฝ่ายที่ต้องดูแลและให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด

เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาและเข้าใจสภาพของผู้ป่วยเหล่านั้นให้ได้ดี ดังนั้นคนที่มีผู้ป่วยอยู่ในความดูแลควรที่จะรู้เคล็ดลับการดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ คนที่ดูแลหรือคนที่อยู่ใกล้ชิดควรมีความอดทนสูง เนื่องจากผู้ป่วยมักจะมีอารมณ์แปรปรวน คนที่ดูแลต้องเป็นคนใจเย็นและรู้จักการยืดหยุ่น ไม่ต่อว่าหรือดุด่าผู้ป่วย เพราะจะทำให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาทางอารมณ์มากยิ่งขึ้น

ต้องเป็นคนช่างสังเกต และควรจะรู้ว่าสิ่งใดเป็นปัจจัยไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาทางอารมณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวนรุนแรง และดูว่าผู้ป่วยชอบอะไรเป็นพิเศษ และการมีอารมณ์ขันจะทำให้ช่วยลดความรู้สึกเครียดทั้งตัวผู้ป่วยและผู้ดูแลเอง

สำหรับเทคนิคการสื่อสารกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม ควรทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าผู้ดูแลมีสัมพันธภาพที่ดี ทั้งจากสายตา ท่าทาง น้ำเสียง และการสัมผัส ในการพูดคุยควรเลือกใช้คำง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน พูดช้า ๆ พูดชัด ๆ และประโยคสั้น ๆ พูดด้วยคำพูดที่สุภาพ ขณะพูดคุยควรมีการสบตากับผู้ป่วย ควรลดสิ่งรบกวนในขณะที่เรากำลังพูดคุยกับผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยมีสมาธิในการสื่อสาร

ควรเรียกชื่อผู้ป่วยบ่อย ๆ เพื่อให้เป็นการช่วยเตือนความจำ พยายามชวนคุยในเรื่องดี ๆ ทั้งในอดีตมาถึงปัจจุบันที่ผู้ป่วยคุ้นเคยเพื่อจะได้มีการพูดโต้ตอบ และควรตอบคำถามผู้ป่วยอย่างช้า ๆ และใช้คำที่เข้าใจได้ง่ายๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยมักจะมีคำถามซ้ำๆ ผู้ดูแลควรหาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจไปสู่เรื่องอื่นๆ ไม่ควรไปล้อเลียนคำพูดหรือพฤติกรรมของผู้ป่วย

บ้านไหนที่มีผู้ป่วยคนในบ้านทุกคนควรจะหมุนเวียนกันทำหน้าที่ อย่าปล่อยให้อยู่ในความดูแลของคนใดคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว เพราะจะทำให้ผู้ดูแลผู้นั้นอาจเกิดความรู้สึกเครียดขึ้นได้.

อาการขาดวิตามินซี


วิตามินซีเป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในน้ำ โดยเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกัน และรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้

เราจะทราบได้ยังไงว่าเราขาดวิตามินซี

1. จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีเลือดออกตามไรฟัน โดยเฉพาะเวลาแปรงฟัน เป็นหวัดง่าย และเป็นบ่อยๆ หายแล้วก็เป็นอีก เพราะภูมิต้านทานต่ำ เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารอาหารในการเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย

2. เมื่อปล่อยให้ขาดวิตามินซีไปนานๆ ก็จะแสดงอาการออกทางกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และเส้นเลือด เช่น เจ็บกล้ามเนื้อ อ่อนแรง เส้นเลือดไม่แข็งแรง เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตกง่าย ผิวช้ำง่าย ปากแห้ง ผิวแห้ง

3. ถ้าเป็นแผลจะหายช้า และอาจนำมาซึ่งปัญหาโรคข้อกระดูก โรคหลอดเลือด และโรคหัวใจ ในกรณีที่ขาดวิตามินซีเป็นเวลายาวนาน

เมื่อเราทราบแล้วว่าเราจะมีอาการเช่นไรถ้าเราขาดวิตามินซี ดังนั้นเราควรดูแลเอาใจใสต่อสุขภาพของตนเอง เพื่อไม่ให้ขาดวิตามินซี สำหรับแหล่งวิตามินซีหาได้ไม่ยาก เพราะวิตามินซีสามารถพบได้จากผักตระกูลกะหล่ำ เช่นกะหล่ำดอก บรอคโคลี่ กะหล่ำปลี นอกจากนี้วิตามินซียังพบได้จากผักและผลไม้ชนิดอื่นๆ ได้อีกเช่น ฝรั่ง สับปะรด สตอร์เบอรี่ ส้ม มะละกอ มะเขือเทศ ผักโขม พริกหวาน มันฝรั่งและมะนาว เราจึงควรหาผักและผลไม้เหล่านี้มาทานให้เป็นประจำ เพื่อที่ร่างกายของเราจะได้ไม่ขาดวิตามินซี

เป็นตะคริว (Cramps)



ทุกคนต้องยอมรับว่ามันเคยเกิดขึ้นกับตัวเอง ลักษณะอาการก็จะรู้สึกปวดเกร็ง เจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง และเป็นอย่างเฉียบพลันโดยไม่แจ้งอาการให้ทราบล่วงหน้า และมักจะเกิดขึ้นบริเวณกลางฝ่าเท้า ขา แขน ช่องท้องหรือบางทีก็มักจะเกิดบริเวณต้นคอได้เช่นกัน

สาเหตุการเป็นตะคริว ส่วนใหญ่มักจะเิกิดมาจาก การขาดน้ำ พักผ่อนน้อย และความเครียด หรืออาจจะเป็นเพราะเส้นประสาทเสียหายจากการเคลื่อนไหวที่ซ้ำๆ ในท่าเดิมอยู่เป็นประจำ แต่จริงๆ แล้วสาเหตุหลักๆ มักจะเกิดมาจากการขาดธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียมและแคลเซียม เพราะสารอาหารประเภทนี้จะมีส่วนในการไปช่วยดูแล การทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทของเราเอง

ถ้าไม่อยากเป็นตะคริว จะต้องปฎิบัติตัวดังนี้ คือ ควรรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียมและแคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้ก็จะมีอยู่ในอาหารประเภท นม พืชตะกูลถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล กล้วยหอม ส้ม และแคนตาลูป แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ควรดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้นและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะก่อนออกกำลังกายสองชั่วโมงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว และพักดื่มน้ำครึ่งแก้วถึง 1 แก้ว ระหว่างเล่นกีฬาทุกๆ 10 – 20 นาที สำหรับคนที่มักจะเป็นตะคริวในระหว่างนอนหลับ ควรจะนอนในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด ไม่ควรจะนอนเหยียดตึงเกินไป เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อขาเกร็ง นอกจากนี้การห่มผ้าให้ร่างกายอบอุ่นก็ช่วยได้เช่นกัน

วิธีแก้การเป็นตะคริว ถ้าเป็นบริเวณน่องให้เหยียดขาออกไปให้ตึงแล้วกระดกปลายเท้าขึ้น ใช้มือช่วยดึงปลายเท้าเข้าหาตัวเองเพื่อช่วยยืดกล้ามเนื้อ หรือใช้ยาหม่องหรือครีมนวดคลายกล้ามเนื้อ หรืออาจจะใช้แผ่นความร้อนประคบบริเวณที่ปวดทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงประคบใหม่ ก็จะช่วยให้เลือดบริเวณนั้นไหลเวียนได้ดีขึ้น หากการแก้ไขเหล่านี้แล้วยังไม่หาย หรืออาจมีอาการนานเกิน 1 วันหรือเป็นตะคริวบ่อยๆ และขยายบริเวณเจ็บปวดลามไปบริเวณอื่นเรื่อยๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน