10 วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก (Hemorrhoid)

1. ควรดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อย 6 – 8 แก้ว ต่อวัน

2. เลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้

3. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจจะไประคายเคืองระบบทางเดินของอาหาร เช่น อาหารรสเผ็ดจัด ชา กาแฟ เครื่องดื่มอัดแก๊สหรือที่ผสมแอลกอฮอล์

4. หมั่นดูแลสุขอนามัย และรักษาความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็วหรือว่าว่ายน้ำ แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาบางประเภท เช่น ขี่จักรยาน ขี่ม้า

6. ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือทำกิจกรรมที่มีการกระแทกกระทั้น

7. ฝึกนิสัยการถ่ายให้เป็นเวลา การดื่มน้ำแก้วใหญ่ทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า จะช่วยเรื่องการขับถ่ายได้ดี

8. ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่คับติ้วเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกงคับ ๆ

9. ไม่ควรอยู่ที่ที่มีอากาศร้อน ๆ เป็นเวลานานเกินไป

10. หากมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น มีเลือดออกหลังถ่ายอุจจาระ รู้สึกไม่สบายบริเวณทวารหนัก ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

การใช้ไหมขัดฟันเพื่อสุขภาพที่ดีของปากและฟัน

ไหมขัดฟัน (Floss) เป็นเส้นใยที่ทำจากไนลอน ใช้กำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารที่อยู่ตามซอกฟัน ส่วนใหญ่จะมีสีขาว บางชนิดเคลือบขี้ผึ้ง บางชนิดไม่เคลือบ ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด บางยี่ห้อก็มีการแต่งกลิ่นและสีเพื่อให้น่าใช้ยิ่งขึ้น ไหมขัดฟัน ช่วยทำความสะอาดที่ซอกฟัน เราจำเป็นที่ต้องใช้ไหมขัดฟันก็เพราะการแปรงฟันอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ฟันเราสะอาดได้หมดทุกซอกทุกมุม เนื่องจากขนแปรงสีฟันไม่สามารถเข้าทำความสะอาดในส่วนของซอกฟันได้อย่างทั่วถึง เพราะขนาดและความยืดหยุ่นไม่เหมาะสม แต่ไหมขัดฟันสามารถเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก อย่างไรก็ดี ไหมขัดฟันก็ใช้ได้ดี เฉพาะส่วนของซอกฟัน ดังนั้น ในการทำความสะอาดฟันให้ทั่วถึงทุกด้าน ของแต่ละซี่ฟัน จึงมีความจำเป็นต้องใช้ไหมขัดฟันร่วมกับการแปรงฟันด้วย เพื่อเป็นการป้องกันโรคเหงือก และโรคฟันผุ การใช้ไหมขัดฟัน เพื่อทำความสะอาดซอกฟัน แม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลามากพอสมควร การใช้ไหมขัดฟันในช่วงเวลาก่อนการแปรงฟัน จะได้ผลดีที่สุด ถ้าไม่มีเวลามากพอ อาจทำร่วมไปกับกิจวัตรประจำวันอื่นๆ ด้วยก็ได้ เช่น ใช้ในช่วงที่นั่งดูรายการโทรทัศน์ หรือขณะที่นั่งฟังเพลง ส่วนวิธีการใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้องนั้นก็ไม่ยากโดยทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. ใช้ไหมขัดฟันความยาวประมาณ 18 นิ้ว พันรอบปลายนิ้วกลางทั้งสอง แล้วใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับเส้นไหมดึงไหมให้ตึง โดยให้ระยะห่างกัน 1.5-2 นิ้ว

2. สอดเส้นไหมขัดฟันเบาๆ เข้าระหว่างซี่ฟันและร่องเหงือก เลื่อนไหมไปมาเบาๆ เข้าระหว่างซอกฟันแล้วโค้งไหมโอบรอบฟัน เพื่อทำความสะอาดโดยเคลื่อนขึ้นลง

3. ทำในลักษณะเดียวกับข้อ 2 กับฟันซี่ถัดไฟโดยพยายามดึงไหมให้ตึงแนบกับฟัน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายเหงือก (ในลักษณะเดียวกันทั้งฟันบนและฟันล่าง)

4. เมื่อเสร็จจากซอกฟันด้านละซอก เลื่อนเส้นไหมจากนิ้วกลางหนึ่งไปยังอีกนิ้วกลางหนึ่ง ครั้งละ 1.5-2 นิ้วเพื่อที่จะได้ ใช้เส้นไหมที่สะอาดและเหนียว สำหรับขัดซอกฟันถัดไป

5. ควรให้ความสนใจขัดฟันทั้งซี่ใน และซี่นอกเมื่อขัดฟันเสร็จแล้วให้บ้วนปาก และกลั้วน้ำไปมาระหว่างซอกฟันจนสะอาด ควรมั่นใจว่าไหมขัดฟันที่คุณใช้ต้องเส้นเล็ก และมีคุณภาพไม่เปื่อยยุ่ยง่าย

6. เพื่อสุขภาพที่ดีของฟันควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอทุกวัน

ตกขาว (Leucorrhoea)


ตกขาว คือของเหลวใส ๆ ที่ไหลออกมานอกช่องคลอด แต่ไม่ใช่เลือด หรือที่คนส่วนใหญ่จะเรียก "ระดูขาว" สตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแตกต่างกันไปตามระยะของประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีผลต่อการลักษณะของเหลวที่สร้างขึ้นมาจากอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์สตรี ดังเช่น ในช่วงกึ่งกลางรอบประจำเดือนหรือระยะใกล้เคียงกับการตกไข่ ซึ่งเป็นเวลาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ทำให้ในช่วงเวลานี้ จะมีตกขาวลักษณะค่อนข้างเหลวใส ๆ ปริมาณมากกว่าระยะเวลาอื่น ส่วนตกขาวในระยะเวลาอื่นจะมีสีขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก ตกขาวที่ปกติจะต้องไม่คัน และไม่มีกลิ่น ถ้าใครมีลักษณะตามนี้ถือว่าเป็นตกขาวปกติ ไม่มีความจำเป็นต้องทำการรักษา แต่ถ้าใครมีอาการตกขาวที่แตกต่างออกไปจากนี้ให้สันนิฐานไว้เลยว่าเป็นตกขาวแบบติดเชื้อ ลองมาดูว่าเรามีอาการเช่นไร และจะเป็นตกขาวที่เกิดจากการติดเชื้อชนิดใด

1. ตกขาวมีสาเหตุจากเชื้อรา
ทำให้เกิดอาการตกขาวสีขาว เป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายนมที่ทารกแหวะออกมา และมีอาการคันช่องคลอด การตกขาวชนิดนี้มักไม่ได้เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ น้ำยาสวนล้างช่องคลอดที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยกำลังใช้ยาที่มีฤทธิ์กดภูมิต้านทาน

2. ตกขาวที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย

ตกขาวประเภทนี้จะมีสีเหลือง หรือค่อนข้างเขียว อาจมีอาการคันในบางราย เชื้อบางชนิดอาจเกิดตกขาวมีกลิ่นคาวปลาหลังการร่วมเพศ แต่ในกรณีที่มีการติดเชื้อจากโรคหนองในจะมีตกขาวสีเหลืองจัด อาจร่วมกับมีอาการปัสสาวะแสบขัดได้

3. ตกขาวที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส

เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ บางครั้งอาจไม่มีอาการชัดเจน เช่น โรคเริมซึ่งเป็นโรคที่ยังไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ จะมีลักษณะเป็นตุ่มใส ๆ ขนาดเล็ก ต่อมาจะแตกเป็นแผลแสบ มีตกขาวสีเหลืองมีกลิ่นผิดปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งแรกที่ปรากฏอาการ

4. ตกขาวที่มีสาเหตุจากเชื้อพยาธิในช่องคลอด

พยาธิชนิดนี้เป็นโรคติดต่อเชื้อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง มักมีสีเหลือง อาจเห็นเป็นฟอง มีอาการคันช่องคลอด และอาจมีกลิ่นออกเปรี้ยวเล็กน้อย

ถ้าหากพบว่าเราเป็นตกขาวชนิดใดก็อย่าพึ่งตกอกตกใจ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ถูกต้องตามอาการและสาเหตุของเชื้อจะทำให้โรคหายเร็วขึ้น ในรายที่เป็นตกขาวจากเชื้อรา แพทย์จะทำการรักษาโดยการให้ยาเหน็บรักษาด้วย โครไทรมาโซล ถ้าเกิดจากเชื้อพยาธิในช่องคลอด ก็จะให้รับประทานยา โมโทรนิดาโซล เป็นต้น บางครั้งสาเหตุของการเกิดตกขาวที่ผิดปกติบางครั้งอาจเกิดจากมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรีได้ โรคดังกล่าวนี้ควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ทางที่ดีคุณผู้หญิงควรไปพบสูตินารีแพทย์เพื่อทำการตรวจภายในประจำปีเพื่อจะได้ตรวจมะเร็งปากมดลูกไปด้วย

น้ำผึ้งกับสุขภาพความงาม

เป็นที่เลื่องลือมาแต่โบร่ำโบราณแล้วว่า “น้ำผึ้ง” เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามจากธรรมชาติ และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน ในนำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผม เนื่องจากคุณสมบัติตามธรรมชาติที่มีในน้ำผึ้ง ดังนี้

- Humectant น้ำผึ้งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คือสามารถดึงและเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ ทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น จึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆ ได้แก่ คลีนซิ่ง, ครีม, แชมพู และคอนดิชันเนอร์ และเนื่องจากน้ำผึ้งได้มาจากธรรมชาติและจะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง ฉะนั้นจึงเหมาะอย่างมากกับการนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบอบบางและผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก

- Antioxidant น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (Antioxidant) และสารแอนตี้ออกซิแดนต์นี้จะมีบทบาทในการปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสง UV และไปช่วยในการเสริมสร้างเซลส์ผิวหนังใหม่

- Antimicrobial Agent น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เนื่องจากว่า
1. น้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลสูง เป็นการจำกัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียจะสามารถเติบโตได้
2. น้ำผึ้งมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และแอนตี้ออกซิแดนต์อยู่ ซึ่งสารเหล่านี้จะไปช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
3. น้ำผึ้งจะมีความเป็นกรดสูง (pH ต่ำ) และปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโต

ประโยชน์และโทษจากการดื่มไวน์












ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดื่มไวน์(wine)

- จะได้รับคุณค่าในส่วนของวิตามิน เกลือแร่ เหมือนกับพวกผลไม้ต่างๆ ที่เราทาน เพราะไวน์มาจากการหมักบ่มผลไม้

- การหมักบ่มไวน์จะได้ประโยชน์จากยีสต์ ซึ่งมีโปรตีนและวิตามิน บี1 บี2 สูงมากทำให้ร่างกายแข็งแรงและบำรุงระบบประสาทด้วย

- ช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารของกระเพาะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ช่วยทำให้รู้สึกเจริญอาหาร สามารถรับประทานอาหารได้มากยิ่งขึ้น

- ทำให้เรามีสังคมเพราะการไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ มักจะมีการเสิรฟไวน์และทำให้มีความกล้าและมั่นใจมากขึ้น

โทษที่จะได้รับจากการดื่มไวน์

- เป็นที่ทราบกันดีว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เมื่อดื่มในปริมาณมาก แอลกอฮอล์จะไปทำลายเซลล์ของตับได้ ถ้าดื่มนานๆ เข้าอาจเป็นโรคตับแข็งได้

- การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มากๆ จะทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ อาจทำให้เกิดพฤติกรรมไม่ดีขึ้นได้

- เป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เปลืองเงินมากกว่าเครื่องดื่มธรรมดา เพระไวน์มีราคาแพง ดื่มแต่ละครั้งมักดื่มในปริมาณที่มากกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เป็นการเพิ่มรายจ่าย

การนั่งสมาธิเพื่อเพิ่มเซลล์สมอง(Concentration)

ส่วนต่างๆ ของสมอง ที่เราแบ่งกันว่าทำหน้าที่เรื่องของการตัดสินใจ ความสนใจและความทรงจำ จะเริ่มเสื่อมสภาพลง เมื่อเราเริ่มเข้าสู่ช่วงอายุ 20 ต้นๆ ตอนนี้นักวิจัยบอกว่า การนั่งสมาธิสามารถป้องกันการสึกหรอของเซลล์สมองได้ มีการทดลองให้คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน 20 คน กับคนที่ไม่นั่งสมาธิเลย 15 คน เข้าสแกนสมอง MRI ดูพบว่าส่วนของสมองที่เกี่ยวกับไหวพริบปฎิภาณของคนที่นั่งสมาธิจะดีกว่ามาก เราจึงเอาเทคนิคการทำสมาธิที่ช่วยไล่สิ่งรบกวนจิตใจคุณดูบ้าง

- วางมือทั้งสองข้างไว้ที่ท้ายทอย ตรงจุดที่คอกับศีรษะเชื่อมกันพอดี

- เลื่อนมือเร็วๆ ขึ้นมาที่ด้านบนสุดของศีรษะ (ช่วงที่เราเรียกกระหม่อม) ให้นึกไปด้วยว่ามือของคุณกำลังกวาดความคิดทั้งหมดที่อยู่ในหัวขึ้นมาด้วย

- เมื่อมือเลื่อนมาถึงช่วงหน้าผาก ให้สะบัดมือออกไปจากใบหน้า รู้สึกเหมือนกับว่าคุณโยนความคิดออกจากหัว ทำซ้ำเร็วๆ 10-30 ครั้ง

- วางมือขวาไว้บนหน้าผาก แล้ววางมือซ้ายทับลงไปอีกที สูดหายใจทางจมูกลึกๆ 5 ครั้ง จนคุณรู้สึกว่าอากาศลงลึกไปถึงท้อง

- หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ ไปแล้ว ให้หายใจออกระดับปกติ

- นั่งนิ่งๆ ไว้สักครู่ แต่มือยังอยู่ที่หน้าผากเหมือนเดิม

เส้นเลือดขอด (Varicose Veins)

หรือ Spider Vein คือโรคมักเกิดขึ้นตามผิวของขาตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน ที่มักจะพบได้บ่อยที่สุดคือบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่
ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจโดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้นพลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิทเลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดแตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรง

บุคคลที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้

1. นางพยาบาล โดยอาชีพต้องใช้การเดินเพื่อดูแลพยาบาลคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน เราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ว่านางพยาบาลหลายคนจะสวมใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่องเพื่อป้องกันไว้ก่อน

2. พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ
การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี้ก็ว่าได้ เพราะการยืนจะหมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจที่จะให้บริการของพนักงาน โดยต้องใช้เวลาในการยืนนานติดต่อกันประมาณ 6-8 ชั่วโมง รองเท้ายิ่งจะต้องเป็นรองเท้าส้นสูงเพื่อเพิ่มความสง่าและความสวยงาม เลยให้เป็นบ่อเกิดของเส้นเสือดขอดได้ง่าย

3. แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศจากการขึ้น-ลงเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนมาสวมรองเท้าส้นเตี้ยขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า

4. คุณครู ที่ต้องยืนสอนหน้าชั้นเรียนเป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมง ยี่งชุดข้าราชการครูบ้านเราเป็นชุดที่ต้องแต่งให้เรียบร้อย ต้องใส่รองเท้าส้นสูง และต้องยืนเป็นเวลานานๆ อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย

5. พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง
จะต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลายชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกทำให้ต้องเกร็งขาไว้ตลอดการเดินทาง

6. สาวออฟฟิศ อาจจะดูเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่สุด แต่จริงๆ แล้ว การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง ที่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือบางคนคิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงตามกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมาเพื่อติดต่อเอกสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน

วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด


- ควรหลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด สำหรับในบางอาชีพ หน้าที่การงานเป็นตัวบังคับก็ต้องอาศัยการออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่องและขา โดยใช้วิธีการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง พอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ก็ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออกก่อนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ตั้งหลังให้ตรงและยกขาข้างหนึ่งขึ้นให้สูงระดับสะโพกและหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นก็ทำสลับอีกข้างหนึ่ง

- ควรหลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า เพราะจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าซัก 2 นิ้วโดยประมาณ

- สำหรับคุณที่เป็นคนอ้วนก็ควรจะต้องลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดของน้ำหนักทั้งหมดที่จะลงไปสู่ขาและเท้า

อันตรายจากการจูบ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การจูบนั้นอาจไม่มีความปลอดภัยเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อโรคจากน้ำลายได้หลายอย่าง ที่พบบ่อยคือ โรคเริม ซึ่ง จะเป็นตุ่มน้ำเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่ริมฝีปาก จมูก คาง แก้ม เกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) ในอเมริกาพบว่าเมื่อ วัยรุ่นอายุครบ 20 ปี ส่วนใหญ่จะมีการ ติดเชื้อเริมที่ปากไปแล้ว และเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) เริมเป็นแล้วจะไม่หายขาด เมื่อ ผู้ติดเชื้ออ่อนแอ เช่น เป็นไข้ โดนแดดจัด หญิงก่อนมีประจำเดือน เริมจะกำเริบได้ หากแกะเกาตุ่มน้ำแล้วสัมผัสนัยน์ตา กระจกตาอาจอักเสบจนถึงขั้นตาบอด ที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันเชื่อว่าการ ติดเชื้อเริมที่ริมฝีปาก (HSV-1) อาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมหรือที่เรียกว่าอัลไซเมอร์ได้ โดยตรวจพบเชื้อไวรัสเริม (HSV-1) ในคราบสมอง (beta-amyloid plaques) ของผู้ป่วยที่เป็น โรคนี้

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเริม ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่าให้งดเว้นการจูบพร่ำเพรื่อ การมีเพศสัมพันธ์ สำส่อน งดการใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ตลอดจนแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น เพื่อความปลอดภัยควรใช้หลอดดูด ดูดน้ำจากแก้ว สำหรับผู้หญิงที่ชอบทดลองลิปสติกตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเริมได้ ผู้ที่เข้าใช้บริการห้องน้ำสาธารณะก็มีโอกาสติดเชื้อเริมที่ก้น ดังนั้นจึงควรใช้กระดาษชำระปูรองนั่ง การทุกครั้ง ทักทายโดยการจูบแบบชาว ตะวันตกนั้นก็เพิ่มการติดเชื้อเริมได้อย่างมาก การทักทายโดยการไหว้แบบไทยๆ นับว่าเป็นการทักทายปลอดภัยกว่า

นอกจากโรคเริมแล้วการจูบปากแบบแลกน้ำลายยังทำให้ติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ คือ โรคไวรัสตับอักเสบ บี เอ และน่าจะถ่ายทอดไวรัส ซี ได้ด้วย ซึ่งล้วนเป็นโรคเรื้อรังเป็นแล้วไม่หายขาด มีโอกาสทำให้ตับอักเสบ ตับแข็ง ตับวาย และอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ ทั้งนี้การจูบอาจถ่ายทอดโรคโมโนนิวคลิโอสิส (infectious mononu- cleosis) ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอปสตีน บาร์ ไวรัส (Epstein Barr Virus, EBV) โรคนี้จึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่าโรคจากการจูบ (kissing diseases) มักพบในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โรคนี้ทำให้เกิดอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต เจ็บคอ ปวดหัว เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และตับอักเสบ

แต่ก็ได้มีความเเข้าใจที่ผิดๆ อยู่เหมือนกัน สำหรับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ซึ่งหลายคนกลัวนั้น โดยทั่วไปการจูบไม่ทำให้ติดโรคนี้ ยกเว้นแต่ว่าเป็นการจูบแบบเปียกที่ผู้ที่เราไปจูบด้วยได้มีแผลมีเลือดออกในช่องปากและมีเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว และตัวเราก็มีแผลในช่องปากเองด้วยก็ทำให้เชื้อเอชไอวี แพร่จากอีกคนไปสู่อีกคนหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม การจูบยังทำให้ติดเชื้อไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส หูดข้าวสุก และโปลิโอได้ด้วย

มาทำสปาเท้าด้วยชาเขียวกันดีกว่า

หลังจากโดนใช้งานหนักมาทั้งวัน ทั้งเดินทั้งวิ่งทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยเท้ามาก หลังจากถอดรองเท้าออกมายังส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาเข้าจมูกอีกตะหาก ถ้าอยากรู้สึกสบายเดินเข้าไปในห้องน้ำล้างเท้าให้สะอาด แล้วมานั่งทำสปาให้เค้าซักหน่อย เพื่อเตรียมลุยงานใหม่ในวันพรุ่งนี้ เรามีสปาสูตรชาเขียวซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าด้วย




สิ่งที่ต้องเตรียม

กะละมังสำหรับแช่เท้า 1 ใบ
แปรงหรือหินขัดเท้า 1 อัน
ชาเขียวชนิดผง 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำร้อน 1 ถ้วย
น้ำอุ่นจัด ½ กะละมัง

ขั้นตอนการทำสปาเท้า

1. ละลายชาเขียวในถ้วยน้ำร้อนแล้วทิ้งไว้ 5 นาที
2. เทน้ำชาที่ได้ลงในน้ำอุ่นจัด ในอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เท้าจะทนได้
3. แช่เท้าลงไปแล้วหาหนังสือการ์ตูนเล่มเล็กมาอ่านจนจบ
4. จากนั้นขัดเท้าด้วยแปรงหรือหินขัดเท้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังแน่นออกไป
5. เช็ดเท้าให้แห้งและชโลมโลชั่นให้ทั่วเท้าแค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย

เห็นความเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าล่ะคะ ว่าก่อนทำกับหลังความอย่างไหนสบายกว่ากัน มันก็แน่นอนอยู่แล้ว การได้แช่เท้าลงไปในน้ำอุ่นๆ แถมยังมีกลิ่นของชาเขียวหอมอ่อนๆ อีกด้วยช่วยทำให้คุณรู้สึกปลดปล่อยอารมณ์เครียดไปได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ นอกจากนี้ชาเขียวยังมีคุณสมบัติกำจัดแบคทีเรียและกลิ่นไม่พึงประสงค์ เห็นคุณแม่บ้านหลายบ้านมักจะนำใบชาเขียวมาโปรยไว้บนพรมก่อนดูดฝุ่น หรือนำมาผสมน้ำล้างอุปกรณ์เครื่องครัว จึงเหมาะสำหรับคนรักเท้าหรือมีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้า และที่สำคัญสูตรนี้สามารถทำได้ทุกวันโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เลย เพิ่มเติมอีกนิดนึงหลังจากที่คุณทำสปาเสร็จและเช็ดเท้าให้แห้งแล้ว ถ้าหากในกรณีที่เท้าของคุณแห้งมาควรหาปิโตรเลียมเจลมาทาให้ทั่วและสวมถุงเท้าไว้ประมาณ 10 นาทีเพื่อให้เนื้อเจลซึมเข้าผิว เพื่อป้องกันเท้าแห้งกร้านและส้นเท้าแตกด้วยก็จะเป็นการดี

โรคเชื้อราที่เท้า (Tinea Pedis)

โรคเชื้อราที่เท่าหรือเป็นโรคที่รู้จักกันดีในชื่อ โรคน้ำกัดเท้าหรือฮ่องกงฟุต ที่เคยเห็นโฆษณาขายยาหลายยี่ห้อทางทีวี ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถก่อโรคที่ผิวหนังได้ โดยเฉพาะที่เท้า ซอกนิ้วเท้า และเล็บเท้า ถึงแม้บางครั้งโรคผิวหนังชนิดนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากเชื้อราเพียงอย่างเดียว แต่ก็เพราะว่ามักจะมีเชื้อแบคทีเรียมาร่วมด้วย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการติดเชื้อราที่เท้านั้นก็คือ ความชื้นและความเปียก ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้ทั้งในฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนอบอ้าว และช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกน้ำท่วมขัง คนที่ต้องลุยน้ำท่วมหรือเดินตามพื้นแฉะๆ โดยเท้าสัมผัสกับน้ำโดยไม่มีเครื่องป้องกัน ก็มักจะได้รับเชื้อโดยตรง อย่างเช่น พวกชาวนา หรือพวกที่ทำงานตามฟาร์ม และชาวประมง แล้วยังรวมไปถึงกลุ่มคนในอาชีพที่ต้องสวมรองเท้าทำงานอับไว้ทั้งวัน เพราะรองเท้าจะเป็นตัวก่อให้เกิดความอับชื้น ทำให้กลายเป็นที่เพาะเชื้อรากอย่างดี ซึ่งเชื้อรานี้จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพเหมาะสมเช่นนั้น นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนสูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ เช่น คนไข้โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดตีบ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง มักจะมีความผิดปกติของเส้นเลือดที่เท้า รวมถึงผู้มีปัญหากระดูกเท้าผิดรูป เป็นต้น

ลักษณะอาการที่จะเกิดขึ้นมีได้หลายแบบ ได้แก่ ผื่นขาวยุ่ยที่ง่ามเท้า ตุ่มน้ำพองที่ฝ่าเท้า หรือฝ่าเท้าแดงมากจนเป็นขุย อาจมีโรคเชื้อราที่เล็บเท้าร่วมด้วย ซึ่งมีอาการที่สังเกตเห็นได้ชัด เช่น ใต้เล็บมีลักษณะหนา มีการหลุดร่อนระหว่างเล็บกับฐานเล็บ เล็บอาจมีการผุกร่อน หรือเปลี่ยนสีเช่นเป็นสีขุ่นขาวได้

โรคเชื้อราที่เท้านี้เกิดจากเชื้อราได้หลายชนิด แต่ที่พบบ่อยๆ คือ เชื้อยีสต์แคนดิดา เชื้อกลาก และเชื้อกลากเทียม การสังเกตอาการของโรคดังกล่าวจึงทำได้ค่อนข้างยาก แม้กระทั่งหมอผิวหนังที่ชำนาญยังอาจดูผิดพลาดได้ ทางที่ดีจึงควรได้รับการตรวจยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่เมื่อมีอาการผิดปกติที่เท้ามักคิดว่าเป็นโรคเชื้อราที่เท้าไว้ก่อน โดยที่ความจริงโรคที่เป็นอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อรา และหลายคนมักซื้อยามาใช้เองแบบผิดๆ ถูกๆ นอกจากโรคไม่หายแล้ว ยังบดบังรอยโรคเดิม เมื่อมาหาหมอก็ทำให้การวินิจฉัยโรคได้ยากขึ้น

ถึงแม้เราจะใช้ยาทาจนดูเหมือนหายดี แต่มักจะมีเชื้อหลงเหลืออยู่ เมื่อเท้าอับชื้นขึ้นเมื่อใด เชื้อราก็จะลุกลามขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดอาการเป็นๆ หายๆ อยู่เป็นประจำ การดูแลป้องกันโรคเชื้อราที่เท้าไม่ให้กลับเป็นซ้ำอีกจึงมีความสำคัญ หากมีอาการรุนแรงและเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจจะมีผลข้างเคียงต่อตับไต และควรรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดใช้ยาเอง แม้ว่าจะดีขึ้น การหยุดยาเร็วเกินไปขณะที่เชื้อยังไม่หมด มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีกได้ง่าย ฉะนั้นเราควรหมั่นทำความสะอาดเท้าและเช็ดให้แห้งทุกครั้งหลังสัมผัสกับน้ำก็เป็นทางช่วยไม่ให้เรากลับมาเป็นซ้ำอีก

ทำไมร่างกายต้องการน้ำในปริมาณมาก












ชีวิตถือกำเนิดในน้ำและเรามีชีวิตโดยขาดน้ำไม่ได้ เราเคยรับรู้มาว่าให้ดื่มน้ำวันละ 7-8 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่เสียไปแต่ละวัน เพราะร่างกายประกอบด้วยน้ำสองในสามหรือ 70% โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายจะสูญเสียน้ำ 2.5 ลิตรต่อวัน เลือดของเราเป็นน้ำถึง 92% กระดูกของเราเป็นน้ำ 22% กล้ามเนื้อของเราเป็นน้ำ 75% (ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมแค่ร่างกายขาดน้ำปานกลางที่ทำให้เราปวดหัวและง่วงนอน)

ประโยชน์พื้นฐานของน้ำที่มีต่อร่างกาย
1. รักษาอุณหภูมิร่างกายให้สม่ำเสมอ
2. น้ำส่งสารอาหารและออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง
3. ทำให้ออกเจนชุ่มชื่นสำหรับการหายใจ
4. ป้องกันอวัยวะสำคัญ
5. ช่วยเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน
6. ช่วยร่างกายดูดซึมสารอาหาร
7. ช่วยรับมือกับความเครียด
8. กำจัดของเสีย

ทำอย่างไรดี ถ้าคอลเรสเตอรอลสูง

ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถ้าปล่อยให้ไขมันในเส้นเลือดสูง เพราะเส้นเลือดจะอุดตัน อันตรายถึงสิ้นชีวิตกันได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าให้เส้นเลือดเปรียบเหมือนท่อประปา คลอเรสเตอรอลก็คงจะเหมือนคราบดินที่เกาะอยู่ในท่อนั่นแหล่ะ วิธีที่จะลดคราบดินลง คือการกวาดออกไปซึ่งทำได้ยากมากกับการไม่ให้มีดินมาพอกเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าวิธีลดคอลเรสเตอรอลมันยาก เรามาดูวิิธีควบคุมไม่ให้มีเพิ่มมากขึ้น โดยวิธีดังต่อไปนี้



1. ควบคุมอาหาร ลดอาหารจำพวกไขมัน ส่วนอาหารต้องห้ามก็คือ พวกเครื่องในสัตว์ ตับวัว ตับหมู หนังเป็ด หนังไก่ ปลาหมึก หอยแมลงภู่ หอยนางรม แกงกะทิ ส่วนน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารควรเลือกเฉพาะน้ำมันพืชเท่านั้น
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเผาผลาญไขมัน
3. งดสูบบุหรี่ เพราะว่าบุหรี่เป็นตัวทำให้ไขมันตัวดีในเส้นเลือดต่ำลง แล้วยังทำให้หัวใจขาดเลือดอีกด้วย
4. งดเครื่องดื่มจำพวกเบียร์และงดทานขนมหวาน และพวกแป้ง จะช่วยลดการเกิดไขมันไตรกรีเซอไลด์ได้
5. เลือกทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพราะจะช่วยให้ร่างกายได้รับกากอาหารเพิ่มขึ้น

ห้องนอนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ (Allergy)

รู้มั๊ยคะว่าอากาศที่เราหายใจเข้าออกทุกวัน ปนเปื้อนด้วยสิ่งสกปรกและสารพิษมากมาก ที่จะก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ไม่เว้นแม้แต่ห้องนอนแสนรักของคุณเอง เวลานอนหลับบนที่นอนนุ่มๆ ของคุณ คุณไม่คิดหรอกว่ามันอาจเป็นตัวต้นเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ ทั้งเชื้อรา ฝุ่น ควัน ขี้แมลงสาบ และไอระเหยของสารเคมีบางอย่างภายในห้องนอนของคุณ ล้วนแต่ไปกระตุ้นภูมิแพ้และส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรังได้ แม้บางครั้งเราไปพบแพทย์ให้รักษาอาการแล้วก็ยังไม่หายขาดเพราะคุณต้องกลับไปนอนที่ห้องนอนของคุณเหมือนเดิมไปสัมผัสสิ่งที่อยู่ในห้องนอนเดิมๆ เพราะฉะนั้น คุณควรให้ความสำคัญกับการดูแลความสะอาดของห้องนอนให้อยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัยจากสิ่งที่กระตุ้นภูมิแพ้ได้โดยวิธีดังต่อไปนี้

1. ภายในห้องนอนของคุณเต็มไปด้วยฝุ่นหรือไม่ การได้หลับพักผ่อนในห้องนอนที่มีอากาศสะอาดปราศจากฝุ่น จะช่วยทำให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ ตื่นนอนขึ้นมารู้สึกสดชื่นหรือฟื้นคืนจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น

2. บริเวณพื้นห้องนอนปูด้วยพรมหรือไม่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะพรมจะกลายเป็นที่ดักฝุ่นและเป็นแหล่งของไรฝุ่นที่เป็นตัวก่อให้เกิดภูมิแพ้ แล้วยังดูแลรักษาความสะอาดได้ยากกว่าพื้นไม้หรือกระเบื้องอีกด้วย

3. คุณมีนิสัยชอบสูบบุหรี่ในห้อง ใช้น้ำยาหรือน้ำหอมปรับอากาศหรือไม่ ถ้าตอบว่าเป็นประจำ ขอบอกเลยว่าสิ่งเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ควรหลีกเลี่ยง

4. คุณเป็นคนชอบซักและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเครื่องนอนบ่อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม และผ้านวม ควรถอดซักได้และควรเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ ควรซักด้วยน้ำสะอาดและอุณหภูมิที่ใช้ไม่ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้จะไม่สามารถกำจัดไรฝุ่นบนเครื่องนอนของคุณได้

5. การเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องตกแต่งที่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่าน สีทาผนัง ตู้ โต๊ะ พรม ควรเลือกซื้อชนิดที่มีข้อความระบุว่าไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในการผลิต ปัจจุบันผู้ผลิตสินค้าบางประเภทเริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าวกันมากขึ้น ก็เป็นเรื่องดีสำหรับผู้บริโภคเช่นเรา

6. คุณเคยเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทบ้างหรือไม่ บ้านไหนที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศในห้องได้ถ่ายเทบ้าง หรือหากปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามาบ้างสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี และจะดีอย่างยิ่งถ้ามีเครื่องฟอกอากาศ หรือใช้แผ่นดักจับสิ่งแปลกปลอมในอากาศฟิลทรีตชนิดที่ใช้กับ เครื่องปรับอากาศ และต้องไม่ลืมคอยเปลี่ยนแผ่นกรองประจำตามสภาพการใช้งาน เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการกรองอากาศให้ดีอยู่เสมอ

แค่คุณหมั่นดูแลห้องนอนของคุณได้ตามที่กล่าวมาแล้วทั้ง 7 ข้อ รับรองคุณจะเป็นบุคคลที่ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้อย่างแน่นอน

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน