
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเริม ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่าให้งดเว้นการจูบพร่ำเพรื่อ การมีเพศสัมพันธ์ สำส่อน งดการใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ตลอดจนแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น เพื่อความปลอดภัยควรใช้หลอดดูด ดูดน้ำจากแก้ว สำหรับผู้หญิงที่ชอบทดลองลิปสติกตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเริมได้ ผู้ที่เข้าใช้บริการห้องน้ำสาธารณะก็มีโอกาสติดเชื้อเริมที่ก้น ดังนั้นจึงควรใช้กระดาษชำระปูรองนั่ง การทุกครั้ง ทักทายโดยการจูบแบบชาว ตะวันตกนั้นก็เพิ่มการติดเชื้อเริมได้อย่างมาก การทักทายโดยการไหว้แบบไทยๆ นับว่าเป็นการทักทายปลอดภัยกว่า
นอกจากโรคเริมแล้วการจูบปากแบบแลกน้ำลายยังทำให้ติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ คือ โรคไวรัสตับอักเสบ บี เอ และน่าจะถ่ายทอดไวรัส ซี ได้ด้วย ซึ่งล้วนเป็นโรคเรื้อรังเป็นแล้วไม่หายขาด มีโอกาสทำให้ตับอักเสบ ตับแข็ง ตับวาย และอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ ทั้งนี้การจูบอาจถ่ายทอดโรคโมโนนิวคลิโอสิส (infectious mononu- cleosis) ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอปสตีน บาร์ ไวรัส (Epstein Barr Virus, EBV) โรคนี้จึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่าโรคจากการจูบ (kissing diseases) มักพบในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โรคนี้ทำให้เกิดอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต เจ็บคอ ปวดหัว เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และตับอักเสบ
แต่ก็ได้มีความเเข้าใจที่ผิดๆ อยู่เหมือนกัน สำหรับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ซึ่งหลายคนกลัวนั้น โดยทั่วไปการจูบไม่ทำให้ติดโรคนี้ ยกเว้นแต่ว่าเป็นการจูบแบบเปียกที่ผู้ที่เราไปจูบด้วยได้มีแผลมีเลือดออกในช่องปากและมีเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว และตัวเราก็มีแผลในช่องปากเองด้วยก็ทำให้เชื้อเอชไอวี แพร่จากอีกคนไปสู่อีกคนหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม การจูบยังทำให้ติดเชื้อไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส หูดข้าวสุก และโปลิโอได้ด้วย