สัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องออกกำลังกายแล้ว


สำหรับใครที่ไม่ชอบออกกำลังกายเลย หรือเป็นพวกชอบผลัดวันประกันพรุ่งเป็นประจำ ก็มักจะหาข้ออ้างให้ตัวเองไม่มีเวลาออกกำลังซักที ต้องปล่อยให้ร่างกายต้องส่งสัญญาณมาเตือนมาว่าถึงเวลาแล้วนะที่คุณควรต้องออกกำลังกาย ไม่งั้นอย่ามาหาว่าชั้นไม่เตือน มาดูสัญญาณอันตรายเตือนจากร่างกายดีกว่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

1. เมื่อน้ำหนักตัวของคุณขั้นมากกว่าที่ควรจะเป็นเกิน 10 กิโลกรัมขึ้นไป
2. รู้ตัวว่าตัวเองมีอาการง่วงนอนในขณะทำงาน แต่พอถึงเวลาต้องนอนกลับนอนไม่หลับ
3. รู้สึกอ่อนเพลียง่าย เวลาเดินขึ้นตึกสูง ๆ 2 ชั้นติดต่อกันโดยไม่พักไม่ได้
4. รอบเอวขยายใหญ่ขึ้นแถมยังมีหน้าท้องยื่นออกมา
5. รู้สึกตัวว่าหงุดหงิดง่าย ขี้โมโห อารมณ์ฉุนเฉียว มีความวิตกกังวล และไม่มีอารมณ์ขัน
6. เป็นช่วงเวลาที่สูบบุหรี่จัด หรือดื่มสุราจัด
7. ไม่สามารถยืนตรงๆ แล้วก้มลงแตะปลายนิ้วกับพื้นได้ หรือเวลานอนหงายแล้วไม่สามารถพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเองได้
8. เวลานั่งตัวตรง แล้วเหยียดขาตึงไปข้างหน้า ไม่สามารถโน้มตัวใช้นิ้วแตะปลายเท้าได้
9. เมื่อตรวจพบว่าตัวเอง มีไขมันหรือระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง
10. หากไม่มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อหรือเข่า จะได้ยินเสียงกุกกักและรู้สึกได้ว่าข้อต่อยึด ติดขัด
11. มีความสับสนด้านความคิด ไม่สามารถจัดระบบความคิดของตัวเองได้ ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรก่อนหรือหลังดี
12. มีอาการเบื่อหน่ายสิ่งแวดล้อมรอบตัว อะไรก็ไม่ถูกใจไปเสียหมด
13. เมื่อสุขภาพร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยได้ง่าย "วันละโรค"

ชาเขียวเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ


ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่หลายคนนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบดื่มร้อนๆ หรือดื่มเย็นๆ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ซึ้งถึงประโยชน์ที่แท้จริงของชาเขียว เราลองมาทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของชาเขียว และการบริโภคชาเขียวที่ถูกต้องเพื่อสุขภาพของเรากันดีกว่าค่ะ

ชาเขียวควรดื่มมากเท่าไรถึงจะพอ
คนที่ดื่มชาเขียว 10 แก้วต่อวัน พบว่าจะปลอดจากโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวันถึง 3 ปี (ในชาเขียวมี Polyphenol ประมาณ 240-320 มก. ในชาเขียว 3 แก้ว)
ขณะเดียวกันการดื่มชาเขียว 4 แก้วหรือมากกว่านั้นจะช่วยป้องกันโรคปวดข้อ หรือลดอาการปวดในกรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้ว อีกทั้งยังพบว่าการเกิดโรคมะเร็งเต้านม หรือการขยายตัวของโรคนั้นจะน้อยลงในผู้หญิงที่มีประวัติดื่มชาเขียว 5 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อ 1 วัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเรื่องคุณสมบัติการป้องกันมะเร็งของชาเขียว พบว่าคุณสามารถได้รับปริมาณ Polyphenol ในปริมาณที่ต้องการได้โดยดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน

ประโยชน์ของการดื่มน้ำทับทิม


ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทับทิม เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อสุขภาพของเรา ว่ากันว่าถ้านำทับทิมมาทำเป็นน้ำทับทิม จะถือได้ว่าเป็นน้ำผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดในบรรดาน้ำผลไม้ทั้งหมด จากผลการวิจัยในสหรัฐฯ ได้พบว่าคุณประโยชน์ของสารต้านอนุมูลในน้ำทับทิม สามารถช่วยไปกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ เพราะจะไปช่วยลดการสะสมไขมันในเส้นลือด ทำให้ไขมันที่หนาตัวและสะสมอยู่ในเส้นเลือดลดลง อีกทั้งยังมีฤทธิ์ช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราควรลองหันมาดูแลสุขภาพของเราเอง ด้วยการดื่มน้ำทับทิมเป็นประจำทุกวัน น้ำทับทิม 1 แก้วมีวิตามินซีร้อยละ 40 ของความต้องการของผู้ใหญ่ใน 1 วัน และมีวิตามินเอ อี และกรดโฟลิกปริมาณสูง โดยคุณสมบัติของน้ำทับทิมที่ดีจะต้องเป็นการคั้นเอาน้ำ จากทับทิมทั้งลูกพร้อมเปลือก เพราะเนื่องจากเปลือกทับทิมและเยื้อหุ้มเมล็ดทับทิมนั้น จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อสุขภาพที่ดีควรดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้ว เป็นการบำรุงสุขภาพของตัวเราเอง

ประโยชน์ขมิ้นดีต่อตับ


คนที่กำลังมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับตับ เพราะในตับมีปริมาณโปรตีนหรือไขมันมากเกินไป จนทำให้เกิดพังผืดขึ้นภายในตับ ซึ่งเป็นภาวะของ โรคไขมันพอกตับ สมควรอ่านบทความนี้เป็นยิ่ง เพราะว่าวันนี้เรามีสิ่งดีๆ มาแนะนำให้คุณนำไปใช้บำรุงตับกัน นั่นก็คือ ขมิ้น เราพอจะรู้กันอยู่บ้างแล้วว่าประโยชน์ของขมิ้นนอกจากจะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางเพราะมีสรรพคุณช่วยด้านสุขภาพความงามและช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารแล้ว ขมิ้นยังมีประโยชน์ต่อตับอีกด้วย เพราะในขมิ้นจะมี สารเคอร์คูมิน (Curcumin) ที่สามารถป้องกันหรือรักษาความเสียหายของตับ อันเนื่องมาจากภาวะไขมันพอกตับได้ โดยสารเคอร์คูมินในขมิ้นจะเข้าไปขัดขวางการทำงานของ สารเลพติน (Leptin) ในร่างกาย ซึ่งสารตัวนี้แหละที่จะเป็นตัวไปกระตุ้นการทำงานของ เซลล์สเทลเลต (stellate cells) ที่มีอยู่ในตับ จะทำให้เซลล์สเทลเลตผลิตคอลลาเจนและโปรตีนออกมาเป็นจำนวนมาก จนส่งผลให้เกิดพังผืดภายในตับทำให้เป็นที่มาของโรคไขมันพอกตับนั่นเอง ฟังแล้วอาจจะดูซับซ้อนซักหน่อย แต่เรื่องของเรื่องก็จะบอกว่าถ้าเราบริโภคขมิ้นเข้าไป สารในขมิ้นก็จะไปช่วยไม่ให้เราเกิดโรคไขมันพอกตับยังไงล่ะคะ เมื่อทราบอย่างนี้แล้วอย่าลืมทานขมิ้นทุกวันเป็นการช่วงบำรุงตับให้แข็งแรงนะคะ หลายคนอาจจะทานขมิ้นสดๆ ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะวิวัฒนาการสมัยนี้ก้าวหน้า โดยขมิ้นจะมาเป็นรูปของแคปซูล ทำให้ง่ายต่อการทานมากขึ้น

หมายเหตุ
สาร'เลพติน' (Leptin) จะเป็นฮอร์โมนที่มีอยู่ในเซลไขมันทั่วไป
สเทลเลตเซลล์ (stellate cells) ซึ่งเป็นเซลล์ myofibroblast ที่อยู่ภายในตับเป็นศูนย์กลางของการเกิดพังผืดภายในตับ

ทานอย่างไรให้ห่างไกลท้องผูก


ท้องผูก (Constipation) คืออาการที่ถ่ายอุจจาระไม่คล่อง ถ่ายออกมาลำบาก ฉะนั้นควรสังเกตระบบการขับถ่ายของตัวเอง หากว่าคุณรู้สึกว่าขับถ่ายยากและอุจจาระที่ออกมาเป็นสีคล้ำ แข็ง และมีกลิ่นเหม็น นี่ถือว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าคุณเกิดอาการท้องผูกแล้วค่ะ

ถ้าปล่อยให้มีอาการท้องผูกบ่อยๆ จะส่งผลให้เป็นอันตรายต่อลำไส้อย่างร้ายแรง เพราะกากอาหารที่ผ่านการย่อยจะไปคั่งค้างที่ลำไส้เป็นเวลานาน เป็นของเสียที่ทำให้เกิดพิษ และลำไส้ก็จะดูดซึมพิษนั้นเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งจะทำให้เกิดความดันที่ส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ จะทำให้ท้องอืด และกล้ามเนื้อทววารหนักต้องเกิดการเกร็งตัวเป็นเวลานาน จนเกิดเลือดคั่งกลายเป็นโรคริดสีดวงทวารได้

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดอาการท้องผูก อย่าง พวกชา กาแฟ ช็อคโกแลต รวมทั้งอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนย น้ำมัน รวมไปถึงเครื่องเทศบางอย่าง เช่น หอมดิบ เปปเปอร์มินต์ หรือสะระแหน่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย

อาหารที่ควรประทานเพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องผูกนั้นก็จะมีกล้วยสุก มะละกอสุก ผักผลไม้ รวมไปถึงข้าวกล้อง ธัญพืช อาหารพวกนี้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราดีขึ้น

รู้หรือไม่ว่าสารนิโคติน...ก็กินสมองได้


ขึ้นชื่อว่า บุหรี่ ยังไงก็ให้โทษมากกว่าให้คุณวันยังค่ำ ไม่ว่าจะต่อตัวผู้สูบเองหรือผู้ใกล้ชิด เพราะในบุหรี่จะมีสารเสพติดและสารพิษไม่ต่ำกว่า 30 ชนิดที่ให้โทษต่อร่างกาย และหนึ่งในนั้นก็คือ สารนิโคติน โดยสารชนิดนี้จะมีอยู่ปริมาณมากในบุหรี่ และนับได้ว่าเป็นสารเสพติดที่มีพิษรุนแรงสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังและเยื่อบุอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้โดยตรง

สารนิโคตินนอกจากจะมีฤทธิ์กระตุ้นสมองและระบบประสาทส่วนกลางแล้ว ยังส่งผลให้ความดันโลหิตสูงและทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ถึง 30 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมไปถึงกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ด้วย นอกจากนี้สารนิโคตินยังมีผลต่อความหนาของเนื้อเยื่อหุ้มสมอง โดยเฉพาะบริเวณกึ่งกลางหน้าผากลดลง ในผู้ที่สูบบุหรี่จะมีขนาดเนื้อเยื่อหุ้มสมองบางกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่หลาายเท่า ยิ่งถ้าได้รับปริมาณสารนิโคตินมากขึ้น เนื้อเยื่อหุ้มสมองก็ยิ่งบางลงเรื่อยๆ จะนำความเสียหายไปสู่ระบบประสาท เพราะเยื่อหุ้มสมองบริเวณนี้มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการระบบประสาทที่มีผล่อการตัดสินใจนั่นเอง

รักษาภาวะกรดไหลย้อนด้วยวิธีธรรมชาติ


เคยมีอาการแบบนี้ไหมคะ เจ็บแสบแถวบริเวณหน้าอกโดยเฉพาะเวลาหลังทานอาหารหรือขณะนอนหลับบางคนอาจจะคิดไปว่าตัวเองกำลังมีอาการของโรคหัวใจหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วอาการที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหน้าอกและคอหอย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะแสดงอาการในขณะนอนหลับตอนกลางคืน ทำให้รู้สึกทรมานมากไม่แพ้กับอาการของโรคหัวใจเลยทีเดียว บางรายอาจจะมีอาการบางอย่างร่วมด้วย เช่น รู้สึกวิงเวียน แน่นท้อง อยากอาเจียนหลังรับประทานอาการ แต่เรามีวิธีรักษาภาวะกรดไหลย้อนด้วยวิธีธรรมชาติมาฝากค่ะ

1. กินกระเทียม ในกระเทียมประกอบด้วยสารที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะเชื้อ H. Pyloris ที่แม้แต่กรดในกระเพาะอาหารก็ไม่สามารถทำลายเชื้อชนิดนี้ได้ นอกจากนี้กระเทียมยังไปช่วยปรับสมดุลของเชื้อแบคทีเรียจำเป็นต่อร่างกายที่มีอยู่ในลำไส้อีกด้วย แต่ต้องเป็นกระเทียมที่ผ่านการบดการตำ หรือเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน เพื่อที่สารอัลลิซินในกระเทียมสามารถสัมผัสกับทางเดินอาหารโดยตรง

2. กินอาหารประเภท probiotic ได้แก่โยเกิร์ต คีเฟอร์ เพราะในอาหารประเภทนี้มีจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

3. ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอเพราะน้ำจะไปช่วยลดความเข้มข้นของกรด สังเกตได้จากปัสสาวะสีค่อนข้างใสไม่เป็นสีเหลืองเข้ม

4. มีผลการวิจัยบอกว่าการดื่มชาคาร์โมมายด์สามารถลดอาการของภาวะกรดไหลย้อนได้ แต่ยังไม่สามารถอธิบายถึงกลไกได้ชัดเจน

5. ควรงดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดเหนือกระเพาะคลายตัว ทำให้กรดสามารถไหลย้อนกลับมากขึ้น

6. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะเป็นการไปกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น

7. ไม่ควรทานอาหารก่อนนอนเพราะทุกครั้งหลังทานอาหาร กระเพาะจะหลั่งกรดออกมาเพิ่มขึ้น และเมื่อนอนจะเพิ่มความเสี่ยงให้กรดไหลย้อนกลับ ฉะนั้นควรทานอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง

8. ควรนอนในท่าที่ศีรษะยกสูงขึ้น จะทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะกรดไหลย้อนได้เนื่องจากแรงดึงดูดโลกจะดึงให้กรดจากกระเพาะไม่ให้ไหลขึ้นมา

9. สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือคนอ้วน จะมีโอกาสที่จะเกิดกรดไหลย้อนกลับขณะนอนมากกว่าคนปกติ การลดน้ำหนักก็จะทำให้ช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้

แสงแดดช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน


จากที่เราเคยทราบกันดีอยู่แล้วว่าแสงแดดจะมีรังสีอุลต้าไวโอเลตซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ยิ่งเด็กสาวๆ สมัยนี้เรื่องรักสวยรักงามเป็นกันทุกคนกลัวการต้องออกไปเจอกับแสงแดด มักสวมเสื้อผ้ามิดชิดเพื่อไม่ให้แสงแดดมาสัมผัสกับร่างกาย หาวิธีสารพัดที่จะมาพิชิตแสงแดด

แต่ยังไม่มีใครมากนักที่จะทราบว่า แสงแดดยังมีประโยชน์ในเรื่องการช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ เพราะร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดดได้ ซึ่งวิตามินดีที่ได้จะไปช่วยทำให้ลำไส้มีการดูดซึมแคลเซียมได้ดี ส่งผลให้กระดูกแข็งแรงลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน

เมื่อเราทราบแล้วว่าแสงแดดช่วยป้ิิองกันโรคกระดูกพรุนได้อย่างนี้แล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งปกป้องผิวหนังตัวเองจากแสงแดดกันตลอดเวลา เพราะแสงแดดในช่วงเช้าๆ เป็นแสงแดดที่ไม่มีอันตราย เราควรออกไปรับแสงแดดในช่วงนี้วันละประมาณ 10-15 นาทีบ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีของกระดูก สำหรับแสงแดดที่ควรหลีกเลี่ยงจะเป็นแสงแดดช่วงเวลากลางวันหลัง 9 โมงเช้าไปจนถึงตอนเย็นมากกว่า

วิธีทำความสะอาดร่างกายจากภายในด้วยอาหาร


เมื่อได้ยินคำว่าทำความสะอาดร่างกายจากภายในด้วยอาหาร หลายคนอาจจะคิดว่าใช่การดีท๊อกซ์หรือเปล่าน๊า จริงๆ แล้วความหมายในบทความนี้ไม่ใช่ แต่เป็นการเลือกรับอาหารที่มีคุณภาพเข้าสู่ร่างกายมากกว่าการทานเพื่อความอร่อย เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเอง อย่างที่เขาบอกว่าสุขภาพดีไม่มีขาย เราต้องเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง โดยวิธีทำความสะอาดร่างกายจากภายในด้วยอาหารก็จะต้องทำกันดังนี้

1.ควรเลือกรับประทานผัก ผลไม้และนมสดแทนการขนมกรุบกรอบเป็นของว่าง
2.ต้องทานโยเกิร์ตให้เป็นนิสัย และควรมีโยเกิร์ตติดตู้เย็นไว้เป็นประจำ และเพราะในโยเกิร์ตจะมีกรดและแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อระบบการทำงานของลำไส้และกระเพาะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3.สำหรับมื้อเที่ยงให้หลีกเลี่ยงอาหารหนัก ๆ ควรเปลี่ยนมาทานสลัดผักและแซนด์วิชจากขนมปังโฮลวีทแทน
4.ควรดื่มชาเขียวให้มาก ๆ เพราะในชาเขียวจะมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระมาก การต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวไม่เพียงแต่จะมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าวิตามินซีถึง 100 เท่า แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีอีกถึง 25 เท่าเลยทีเดียว
5.ควรเลือกทานคาร์โบไฮเดรตจากพืชโดยตรงมากกว่าเลือกทานจากแป้งหรือข้าว เพราะคาร์โบไฮเดรตจากพืช เช่นมันฝรั่ง ข้าวโพด จะกากใยที่ช่วยเรื่องระบบการย่อยแถมด้วย

โรคเริมที่ปาก ( herpes labialis )


โรคนี้ถือได้ว่าเป็นโรคประจำตัวของเจ้าของบล๊อคนี้เลยค่ะ เป็นทีไรแทบไม่อยากออกจากบ้านไปพบปะกับผู้คนเลย รู้สึกอายมากๆ และกลัวคนอื่นเค้าจะรังเกียจด้วย เวลาเป็นเราก็จะซื้อยาที่ใช้สำหรับทาแผลในปากมาทาก็จะหายเหมือนกันแต่ใช้เวลานานเกือบเป็นอาทิตย์ เราอยากหายจากการเป็นโรคนี้มากเลย เราไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจึงทราบทำให้ทราบว่า เริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes จะมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆ เล็กบริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด

สาเหตุของโรคเริมที่ปาก เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อชนิดนี้ครั้งแรกอาจจะไม่แสดงอาการหรือเกิดตุ่มใส เพราะเชื้อนั้นจะไปยังปมประสาทแลจะะอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนเมื่อมีสภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะทำการแบ่งตัวและทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด และจะหายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใสขึ้น ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากก่อน สำหรับผู้ป่วยบางรายอาการครั้งแรกอาจจะรุนแรงเลย โดยจะมีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด หรือว่าถูกแสงแดดมากๆ เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคนี้เป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่สำหรับในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้

การติดต่อของเชื้อ จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง เช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมส่วนตัวร่วมกัน อย่างการใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากที่ได้รับเชื้อนี้ไปประมาณ 7-10 วัน อาการก็จะเริ่มออก คือจะรู้สึกแสบร้อนริมฝีปากและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย

พอเราอ่านเจอแบบนี้แล้วก็รู้เลยว่าโรคนี้จะอยู่กับเราจนกว่าเราจะตายนั่นแหละ เบื่อจริงๆ เลย แต่อย่างน้อยในการค้นหาข้อครั้งนี้ก็ไม่ถึงกับเปล่าประโยชน์ซะทีเดียว บังเอิญเราไปอ่านเจอกระทู้อยู่กระทู้หนึ่งที่เจ้าของเคยมีประสบเช่นเดียวกับเราและเค้ารู้จักวิธีป้องกันและวิธีรักษาให้หายเร็วขึ้น

วิธีป้องกัน ถ้าเราต้องอยู่ในที่ที่มีแสงแดดมากๆ ก็จะไปกระตุ้นให้เชื้อแสดงอาการออกมาได้ง่าย การทาลิปมันป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดก็จะสามารถช่วยได้

วิธีการรักษา ให้หายเร็วขึ้น ถ้าเรารู้สึกว่าจะเริ่มมีอาการให้รีบใช้น้ำแข็งจี้ตรงจุดที่เกิดอาการเป็นเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็จะสามารถช่วยลดอาการบวมของตุ่มอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นซื้อยา Vilerm มาทา ควรทาทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และทานยาแก้อักเสบวันละ 3 เวลา พอวันที่สองก็จะตกสะเก็ด วันที่สามหรือสี่ก็จะหายเป็นปกติและที่สำคัญที่สุดควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียดกับอาการที่เป็น ถึงแม้เราจะไม่หายขาดจากโรคนี้ซะทีเดียวแต่แค่นี้ก็พอจะให้เราอยู่กับเริมอย่างเป็นทุกข์น้อยลง

รู้หรือไม่ว่าคุณอาจติดโรคร้ายจากสัตว์เลี้ยงแสนรักได้

จากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า การที่คนเราชอบนำสัตว์เลี้ยงเข้ามานอนร่วมเตียงด้วยนั้น ในเชิงจิตวิทยาอาจจะมองว่ามีประโยชน์นั้นก็จริงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเป็นโรคร้ายบางอย่างได้ เพราะสัตว์จะนำเชื้อโรคที่ติดต่อคนได้มาสู่ตัวเรา หลายคนอาจจะมองว่าโอกาสที่เราจะไม่สบายจากการติดเชื้อโรคดังกล่าวนั้น จะมีค่อนข้างต่ำมากแค่ไหนก็ตาม แต่สำหรับเด็ก ๆ หรือคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันหรือว่าคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก็ควรจะต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นนี้ด้วย

ในที่นี้อาจจะไม่ได้จำกัดแค่การแชร์ที่นอนร่วมกับสัตว์เลี้ยงเท่านั้น เพราะเคยมีในกรณีที่ผู้ชายที่สุขภาพแข็งแรงคนหนึ่ง ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งสาเหตุก็มาจากสุนัขที่เลี้ยงอยู่เลียปากที่เป็นแผลร้อนใน แล้วยังมีเด็กติดกาฬโรคจากการนอนร่วมกับแมวที่มีเห็บอยู่เต็มไปหมด และมีกรณีอื่น ๆ อีกมากมายทีjเกิดขึ้น อย่างไรก็ดีการที่จะนำสัตว์มาเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดนั้น เราควรต้องคำนึงถึงตรงนี้ด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าข่าวนี้จะบอกว่าให้คุณเลิกเลี้ยงสัตว์ แต่อยากให้ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ทางแก้ที่พอจะช่วยได้บ้างก็อาจจะต้องดูแลสัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยงอยู่ให้สะอาด หมั่นนำไปพบสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอควรจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้างให้เหมาะสม และที่สำคัญคุณต้องเป็นคนที่รักความสะอาดและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าคุณเลือกที่จะสัตว์เลี้ยงเหล่านี้มานอนเคียงข้างคุณ ข่าวนี้ไม่ได้บอกให้คุณเลิกเลี้ยงสัตว์ แต่ให้ตระหนักถึงอันตรายหากคุณเลือกจะนอนข้างมันเสียมากกว่า

ปฎิบัติตัวอย่างไรเมื่อเป็นโรคแพ้อากาศ

โรคแพ้อากาศหรือเรียกอีกชื่อว่าโรคภูมิแพ้จมูก เป็นโรคที่พบได้บ่อยกับทุกเพศทุกวัย อาการที่พบกับผู้ป่วยก็คือ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล มีเสมหะในคอ เลือดกำเดาไหลบ่อย และอาจจะพบอาการคันตา แสบตา คันหู หูอื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ฝุ่น ละอองเกสรของพืช ไรฝุ่น และขนสัตว์

วิธีที่ควรปฏิบัติเมื่อตนเองเป็นโรคแพ้อากาศ คือให้หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ตัวไรในฝุ่นเชื้อราในอากาศ แมลงสาบ ยุง แมลงวัน และมด โดยภายในห้องนอน ต้องจัดให้โปร่งโล่งสบายและมีเข้าของอยู่น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นที่กักเก็บฝุ่นและสะดวกในการทำความสะอาด ส่วนหมอนต้องนำมาตากแดดบ่อยๆ ผ้าห่มและผ้าปูที่นอนควรเปลี่ยนซักอยู่สม่ำเสมอ ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น แมว สุนัข มาเลี้ยงไว้ภายในบ้าน และที่สำคัญคือ พยายามหลีกเลี่ยงพวกละอองเกสรหญ้า วัชพืช และดอกไม้ทุกชนิด
ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานสดชื่น งดดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และต้องหมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ส่วนทางด้านจิตใจระวังอย่าให้เครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไป

สำหรับความรุนแรง ของโรคแพ้อากาศนั้นก็มีไม่มากนัก แต่การรักษาให้หายขาดนั้นทำได้ยาก หากสามารถควบคุมอาการของโรคไม่ดีพอ ก็อาจจะลุกลามกลายไปเป็นโรคหอบหืด จนอาจทำให้เสียชีวิต เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้ เมื่อเรารู้วิธีปฎิบัติตัวตามนี้แล้วก็สามารถลดอาการแพ้อากาศของเราไปได้มากเลย

ยารักษาโรคภูมิแพ้ทำลายระบบย่อย


ได้มีผลงานวิจัยเรื่องหนึ่ง ระบุว่า กลุ่มผู้ใช้ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) ซึ่งเป็นยาที่ใช้เพื่อการ
รักษาโรคภูมิแพ้ และโรคผิวหนัง เมื่อใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จะส่งผลทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

เพราะยาต้านฮิสตามีน จะไปกระตุ้นฮิสตามีนชนิดตัวจับ ซึ่งมีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ
เนื่องจากในต่อมใต้สมอง มีฮีสตามีนชนิดตัวจับ (Receptor) H1 และ H2 อยู่ในเซลล์ประสาท
โดยตัวจับ H1 ซึ่งได้แก่ ตัวจับที่พบมากตามกล้ามเนื้อเรียบ หลอดลม และหลอดเลือด
ในขณะที่ตัวจับ H2 ได้แก่ ตัวจับที่พบมากในต่อมมีท่อของกระเพาะอาหาร

เมื่อเรากินยาต้านฮิสตามีนกระตุ้นตัวจับนี้ จะส่งผลให้กระเพาะอาหารหลั่งกรด และน้ำย่อยออกมาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้นไปด้วย ดังนั้น การกินยาต้านอิสตามีนติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จึงส่งผลข้างเคียงกับผู้ใช้ยา มีแนวโน้มกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย อีกทั้งยังทำให้กระบวนการเผาผลาญไขมันทำงานได้ไม่เต็มที่

นักวิจัยยังกล่าวอีกว่า ยาต้านฮิสตามีน เป็นกลุ่มตัวยาที่ผู้ป่วยสามารถซื้อได้เองตามร้านขายยาทั่วไป
จึงเป็นเรื่องง่ายที่ผู้ป่วยไปหาซื้อกินเพื่อบำบัดโรคด้วยตัวเอง จนเป็นสาเหตุให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าว
ดังนั้นก่อนกินยาประเภทนี้แต่ละครั้ง จึงควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์และถามถึงผลข้างเคียงให้ถี่ถ้วนก่อน

Sleep Test ทางเลือกสำหรับผู้มีปัญหาการนอนหลับ


การนอนหลับสนิทและเต็มอิ่ม ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับการฟื้นฟู และซ่อมแซมร่างกายของมนุษย์ หากใครที่ไม่สามารถนอนหลับเช่นนั้นได้ ปัจจุบันได้มีเครื่องมือในการตรวจค้นหาสาเหตุและแก้ไขได้

การตรวจสุขภาพการนอนหลับ หรือที่เรียกว่า Sleep test เป็นการตรวจวิเคราะห์ระบบการทำงานของร่างกายขณะนอนหลับ เช่น ระบบการหายใจ ตรวจหาระดับออกซิเจนในเลือด การทำงานของคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และกล้ามเนื้อ รวมไปถึงศึกษาพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับ

สำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากการตรวจนี้ ก็เพื่อใช้วินิจฉัยและประเมินระดับความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับชนิดอุดกั้น การกระตุกของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และพฤติกรรมที่ผิดปกติขณะนอนหลับ รวมไปถึงช่วยในการวินิจฉัยโรคความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการนอนหลับ ตลอดไปจนถึงการใช้พิจารณาเลือกวิธีการผ่าตัดทางเดินหายใจ และติดตามผลการรักษา

บุคคลที่ควรจะเข้ารับการตรวจ Sleep test นั้นได้แก่ ผู้ที่ภาวะนอนกรนเสียงดังผิดปกติ หรือมีอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน ทั้งๆ ที่ได้นอนอย่างเพียงพอแล้ว ผู้ที่มีอาการหายใจลำบาก และสงสัยว่าจะมีการหยุดหายใจขณะหลับ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมการนอนผิดปกติอื่นๆ เช่น นอนแขนขากระตุก นอนกัดฟัน หรือนอนละเมอ ฝันร้าย สะดุ้งตื่นเป็นประจำ เป็นต้น โดยผู้รับการตรวจควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคการนอนหลับโดยตรง หรือแพทย์หู คอ จมูก อายุรแพทย์ หรือกุมารแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อสอบถามประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนและหลังการตรวจ ซึ่งจะมีผลต่อการวางแผนและการตัดสินใจหาทางเลือกในการรักษา


การตรวจ sleep test สำหรับภาวะการนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งได้เป็น 4 ระดับดังนี้

ระดับที่ 1 การตรวจสุขภาพการนอนหลับแบบสมบูรณ์ โดยต้องมีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอดคืนเพื่อทำการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ลูกตา ใต้คาง และแขนขา คลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจวัดหาระดับออกซิเจนในเลือด การตรวจวัดลมหายใจ โดยอาจทำภายในห้องตรวจเฉพาะของสถานพยาบาลหรือนอกสถานที่ก็ได้

ระดับที่ 2 การตรวจสุขภาพการนอนหลับแบบสมบูรณ์ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าตลอดทั้งคืน อาจเป็นการตรวจในห้องนอนส่วนตัวตามบ้าน ระดับนี้มีความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกับการตรวจระดับ 1 แต่มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกในการเคลื่อนไหวและการเดินทาง หรือผู้ที่มีอาการมาก ต้องการรักษาอย่างเร่งด่วน

ส่วนระดับที่ 3 และ 4 เป็นการตรวจสุขภาพเฉพาะบางรายการ ซึ่งอาจมีผลที่คลาดเคลื่อนในการวินิจฉัย จึงมักไม่ได้รับความนิยม

การตรวจสุขภาพการนอนหลับจะเริ่มตั้งแต่เวลา 19.00-06.00 น.ทั้งนี้ ขึ้นอยู่ตามความเหมาะสมของผู้ตรวจแต่ละราย ก่อนที่จะเริ่มทำการตรวจ เจ้าหน้าที่จะสอบถามข้อมูลประวัติและข้อมูลเกี่ยวกับการนอน รวมทั้งยารักษาโรคประจำตัว หรืออาจให้กรอกแบบสอบถาม และเอกสารการยินยอมของผู้รับการตรวจ หลังจากนั้นจะมีการอธิบายเกี่ยวกับอุปกรณ์ และการปฏิบัติตัวต่างๆ ในระหว่างการตรวจ โดยผู้ที่เข้ารับการตรวจควรสวมเสื้อผ้าชุดนอนหลวมๆ ทำจิตใจให้สบาย และควรหลีกเลี่ยงการดื่ม กาแฟ ชา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เป็นส่วนผสม หรือการออกกำลังกายอย่างหนักมาก่อนเข้าทำการรับการตรวจ

เตือนภัยไข้หวัด 3 สายพันธุ์ มาแน่กับหน้าฝนนี้


หัวข้อพิเศษในการบรรยายเรื่อง "โรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ : สถานการณ์ บทเรียนและการจัดการ"ในงานการประชุมวิชาการสาธารณสุขแห่งชาติ ครั้งที่ 13 นายแพทย์ทวี โชติทิพยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันสุขภาพ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวไว้ว่า ในปี 2554 ยังคงต้องมีการติดตามและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ถึงแม้ในประเทศไทยจะไม่มีการระบาด แต่ก็ยังพบว่าได้มีการแพร่ระบาดอยู่ในอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น กัมพูชา เวียดนาม พม่าและอินโดนีเซีย สถิติการแพร่ระบาดทั่วโลกของโรคไข้หวัดนก 40 ราย ใน 4 เดือนแรกปี 2554 มีผู้ได้รับเชื้อไข้หวัดนกกว่า 30 ราย ได้เสียชีวิตประมาณ 60 - 70% ดังนั้นประเทศไทยเองจึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดใน 2 กลุ่ม คือ

- กลุ่มแรกที่ควรเฝ้าระวังคือในกลุ่มคน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคปอดบวม

- เฝ้าระวังในกลุ่มสัตว์

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าหน่วยวิจัยอณูชีววิทยาทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัส 3 สายพันธุ์ ในช่วงที่ผ่านมาได้แก่

1. ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

2. ไข้หวัดใหญ่ชนิดบี

3. ไข้หวัดใหญ่ 2009

แต่ต่อมานี้ในช่วงปี 2554 ไข้หวัด 2009 ยังพบแบบประปรายเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลแต่ไม่มีเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในประมาณกลางเดือน พ.ค.นี้น่าจะมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั้ง 3 สายพันธุ์นี้อีกรอบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นทุกปี อยู่ที่ว่าสายพันธุ์ใดจะเด่นกว่ากันเท่านั้นเอง ส่วนตนเองคิดว่าไข้หวัด 2009 คงจะไม่ระบาดอย่างรวดเร็วเหมือนในอดีตที่ผ่านมา


อ้างอิงจากไทยโพสต์

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน