10 วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก (Hemorrhoid)

1. ควรดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อย 6 – 8 แก้ว ต่อวัน

2. เลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้

3. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจจะไประคายเคืองระบบทางเดินของอาหาร เช่น อาหารรสเผ็ดจัด ชา กาแฟ เครื่องดื่มอัดแก๊สหรือที่ผสมแอลกอฮอล์

4. หมั่นดูแลสุขอนามัย และรักษาความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็วหรือว่าว่ายน้ำ แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาบางประเภท เช่น ขี่จักรยาน ขี่ม้า

6. ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือทำกิจกรรมที่มีการกระแทกกระทั้น

7. ฝึกนิสัยการถ่ายให้เป็นเวลา การดื่มน้ำแก้วใหญ่ทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า จะช่วยเรื่องการขับถ่ายได้ดี

8. ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่คับติ้วเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกงคับ ๆ

9. ไม่ควรอยู่ที่ที่มีอากาศร้อน ๆ เป็นเวลานานเกินไป

10. หากมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น มีเลือดออกหลังถ่ายอุจจาระ รู้สึกไม่สบายบริเวณทวารหนัก ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

การใช้ไหมขัดฟันเพื่อสุขภาพที่ดีของปากและฟัน

ไหมขัดฟัน (Floss) เป็นเส้นใยที่ทำจากไนลอน ใช้กำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารที่อยู่ตามซอกฟัน ส่วนใหญ่จะมีสีขาว บางชนิดเคลือบขี้ผึ้ง บางชนิดไม่เคลือบ ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด บางยี่ห้อก็มีการแต่งกลิ่นและสีเพื่อให้น่าใช้ยิ่งขึ้น ไหมขัดฟัน ช่วยทำความสะอาดที่ซอกฟัน เราจำเป็นที่ต้องใช้ไหมขัดฟันก็เพราะการแปรงฟันอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ฟันเราสะอาดได้หมดทุกซอกทุกมุม เนื่องจากขนแปรงสีฟันไม่สามารถเข้าทำความสะอาดในส่วนของซอกฟันได้อย่างทั่วถึง เพราะขนาดและความยืดหยุ่นไม่เหมาะสม แต่ไหมขัดฟันสามารถเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก อย่างไรก็ดี ไหมขัดฟันก็ใช้ได้ดี เฉพาะส่วนของซอกฟัน ดังนั้น ในการทำความสะอาดฟันให้ทั่วถึงทุกด้าน ของแต่ละซี่ฟัน จึงมีความจำเป็นต้องใช้ไหมขัดฟันร่วมกับการแปรงฟันด้วย เพื่อเป็นการป้องกันโรคเหงือก และโรคฟันผุ การใช้ไหมขัดฟัน เพื่อทำความสะอาดซอกฟัน แม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลามากพอสมควร การใช้ไหมขัดฟันในช่วงเวลาก่อนการแปรงฟัน จะได้ผลดีที่สุด ถ้าไม่มีเวลามากพอ อาจทำร่วมไปกับกิจวัตรประจำวันอื่นๆ ด้วยก็ได้ เช่น ใช้ในช่วงที่นั่งดูรายการโทรทัศน์ หรือขณะที่นั่งฟังเพลง ส่วนวิธีการใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้องนั้นก็ไม่ยากโดยทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. ใช้ไหมขัดฟันความยาวประมาณ 18 นิ้ว พันรอบปลายนิ้วกลางทั้งสอง แล้วใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับเส้นไหมดึงไหมให้ตึง โดยให้ระยะห่างกัน 1.5-2 นิ้ว

2. สอดเส้นไหมขัดฟันเบาๆ เข้าระหว่างซี่ฟันและร่องเหงือก เลื่อนไหมไปมาเบาๆ เข้าระหว่างซอกฟันแล้วโค้งไหมโอบรอบฟัน เพื่อทำความสะอาดโดยเคลื่อนขึ้นลง

3. ทำในลักษณะเดียวกับข้อ 2 กับฟันซี่ถัดไฟโดยพยายามดึงไหมให้ตึงแนบกับฟัน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายเหงือก (ในลักษณะเดียวกันทั้งฟันบนและฟันล่าง)

4. เมื่อเสร็จจากซอกฟันด้านละซอก เลื่อนเส้นไหมจากนิ้วกลางหนึ่งไปยังอีกนิ้วกลางหนึ่ง ครั้งละ 1.5-2 นิ้วเพื่อที่จะได้ ใช้เส้นไหมที่สะอาดและเหนียว สำหรับขัดซอกฟันถัดไป

5. ควรให้ความสนใจขัดฟันทั้งซี่ใน และซี่นอกเมื่อขัดฟันเสร็จแล้วให้บ้วนปาก และกลั้วน้ำไปมาระหว่างซอกฟันจนสะอาด ควรมั่นใจว่าไหมขัดฟันที่คุณใช้ต้องเส้นเล็ก และมีคุณภาพไม่เปื่อยยุ่ยง่าย

6. เพื่อสุขภาพที่ดีของฟันควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอทุกวัน

ตกขาว (Leucorrhoea)


ตกขาว คือของเหลวใส ๆ ที่ไหลออกมานอกช่องคลอด แต่ไม่ใช่เลือด หรือที่คนส่วนใหญ่จะเรียก "ระดูขาว" สตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแตกต่างกันไปตามระยะของประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีผลต่อการลักษณะของเหลวที่สร้างขึ้นมาจากอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์สตรี ดังเช่น ในช่วงกึ่งกลางรอบประจำเดือนหรือระยะใกล้เคียงกับการตกไข่ ซึ่งเป็นเวลาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ทำให้ในช่วงเวลานี้ จะมีตกขาวลักษณะค่อนข้างเหลวใส ๆ ปริมาณมากกว่าระยะเวลาอื่น ส่วนตกขาวในระยะเวลาอื่นจะมีสีขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก ตกขาวที่ปกติจะต้องไม่คัน และไม่มีกลิ่น ถ้าใครมีลักษณะตามนี้ถือว่าเป็นตกขาวปกติ ไม่มีความจำเป็นต้องทำการรักษา แต่ถ้าใครมีอาการตกขาวที่แตกต่างออกไปจากนี้ให้สันนิฐานไว้เลยว่าเป็นตกขาวแบบติดเชื้อ ลองมาดูว่าเรามีอาการเช่นไร และจะเป็นตกขาวที่เกิดจากการติดเชื้อชนิดใด

1. ตกขาวมีสาเหตุจากเชื้อรา
ทำให้เกิดอาการตกขาวสีขาว เป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายนมที่ทารกแหวะออกมา และมีอาการคันช่องคลอด การตกขาวชนิดนี้มักไม่ได้เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ น้ำยาสวนล้างช่องคลอดที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยกำลังใช้ยาที่มีฤทธิ์กดภูมิต้านทาน

2. ตกขาวที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย

ตกขาวประเภทนี้จะมีสีเหลือง หรือค่อนข้างเขียว อาจมีอาการคันในบางราย เชื้อบางชนิดอาจเกิดตกขาวมีกลิ่นคาวปลาหลังการร่วมเพศ แต่ในกรณีที่มีการติดเชื้อจากโรคหนองในจะมีตกขาวสีเหลืองจัด อาจร่วมกับมีอาการปัสสาวะแสบขัดได้

3. ตกขาวที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส

เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ บางครั้งอาจไม่มีอาการชัดเจน เช่น โรคเริมซึ่งเป็นโรคที่ยังไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ จะมีลักษณะเป็นตุ่มใส ๆ ขนาดเล็ก ต่อมาจะแตกเป็นแผลแสบ มีตกขาวสีเหลืองมีกลิ่นผิดปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งแรกที่ปรากฏอาการ

4. ตกขาวที่มีสาเหตุจากเชื้อพยาธิในช่องคลอด

พยาธิชนิดนี้เป็นโรคติดต่อเชื้อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง มักมีสีเหลือง อาจเห็นเป็นฟอง มีอาการคันช่องคลอด และอาจมีกลิ่นออกเปรี้ยวเล็กน้อย

ถ้าหากพบว่าเราเป็นตกขาวชนิดใดก็อย่าพึ่งตกอกตกใจ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ถูกต้องตามอาการและสาเหตุของเชื้อจะทำให้โรคหายเร็วขึ้น ในรายที่เป็นตกขาวจากเชื้อรา แพทย์จะทำการรักษาโดยการให้ยาเหน็บรักษาด้วย โครไทรมาโซล ถ้าเกิดจากเชื้อพยาธิในช่องคลอด ก็จะให้รับประทานยา โมโทรนิดาโซล เป็นต้น บางครั้งสาเหตุของการเกิดตกขาวที่ผิดปกติบางครั้งอาจเกิดจากมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรีได้ โรคดังกล่าวนี้ควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ทางที่ดีคุณผู้หญิงควรไปพบสูตินารีแพทย์เพื่อทำการตรวจภายในประจำปีเพื่อจะได้ตรวจมะเร็งปากมดลูกไปด้วย

น้ำผึ้งกับสุขภาพความงาม

เป็นที่เลื่องลือมาแต่โบร่ำโบราณแล้วว่า “น้ำผึ้ง” เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามจากธรรมชาติ และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน ในนำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผม เนื่องจากคุณสมบัติตามธรรมชาติที่มีในน้ำผึ้ง ดังนี้

- Humectant น้ำผึ้งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คือสามารถดึงและเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ ทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น จึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆ ได้แก่ คลีนซิ่ง, ครีม, แชมพู และคอนดิชันเนอร์ และเนื่องจากน้ำผึ้งได้มาจากธรรมชาติและจะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง ฉะนั้นจึงเหมาะอย่างมากกับการนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบอบบางและผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก

- Antioxidant น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (Antioxidant) และสารแอนตี้ออกซิแดนต์นี้จะมีบทบาทในการปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสง UV และไปช่วยในการเสริมสร้างเซลส์ผิวหนังใหม่

- Antimicrobial Agent น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เนื่องจากว่า
1. น้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลสูง เป็นการจำกัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียจะสามารถเติบโตได้
2. น้ำผึ้งมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และแอนตี้ออกซิแดนต์อยู่ ซึ่งสารเหล่านี้จะไปช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
3. น้ำผึ้งจะมีความเป็นกรดสูง (pH ต่ำ) และปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโต

ประโยชน์และโทษจากการดื่มไวน์












ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดื่มไวน์(wine)

- จะได้รับคุณค่าในส่วนของวิตามิน เกลือแร่ เหมือนกับพวกผลไม้ต่างๆ ที่เราทาน เพราะไวน์มาจากการหมักบ่มผลไม้

- การหมักบ่มไวน์จะได้ประโยชน์จากยีสต์ ซึ่งมีโปรตีนและวิตามิน บี1 บี2 สูงมากทำให้ร่างกายแข็งแรงและบำรุงระบบประสาทด้วย

- ช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารของกระเพาะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ช่วยทำให้รู้สึกเจริญอาหาร สามารถรับประทานอาหารได้มากยิ่งขึ้น

- ทำให้เรามีสังคมเพราะการไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ มักจะมีการเสิรฟไวน์และทำให้มีความกล้าและมั่นใจมากขึ้น

โทษที่จะได้รับจากการดื่มไวน์

- เป็นที่ทราบกันดีว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เมื่อดื่มในปริมาณมาก แอลกอฮอล์จะไปทำลายเซลล์ของตับได้ ถ้าดื่มนานๆ เข้าอาจเป็นโรคตับแข็งได้

- การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มากๆ จะทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ อาจทำให้เกิดพฤติกรรมไม่ดีขึ้นได้

- เป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เปลืองเงินมากกว่าเครื่องดื่มธรรมดา เพระไวน์มีราคาแพง ดื่มแต่ละครั้งมักดื่มในปริมาณที่มากกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เป็นการเพิ่มรายจ่าย

การนั่งสมาธิเพื่อเพิ่มเซลล์สมอง(Concentration)

ส่วนต่างๆ ของสมอง ที่เราแบ่งกันว่าทำหน้าที่เรื่องของการตัดสินใจ ความสนใจและความทรงจำ จะเริ่มเสื่อมสภาพลง เมื่อเราเริ่มเข้าสู่ช่วงอายุ 20 ต้นๆ ตอนนี้นักวิจัยบอกว่า การนั่งสมาธิสามารถป้องกันการสึกหรอของเซลล์สมองได้ มีการทดลองให้คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน 20 คน กับคนที่ไม่นั่งสมาธิเลย 15 คน เข้าสแกนสมอง MRI ดูพบว่าส่วนของสมองที่เกี่ยวกับไหวพริบปฎิภาณของคนที่นั่งสมาธิจะดีกว่ามาก เราจึงเอาเทคนิคการทำสมาธิที่ช่วยไล่สิ่งรบกวนจิตใจคุณดูบ้าง

- วางมือทั้งสองข้างไว้ที่ท้ายทอย ตรงจุดที่คอกับศีรษะเชื่อมกันพอดี

- เลื่อนมือเร็วๆ ขึ้นมาที่ด้านบนสุดของศีรษะ (ช่วงที่เราเรียกกระหม่อม) ให้นึกไปด้วยว่ามือของคุณกำลังกวาดความคิดทั้งหมดที่อยู่ในหัวขึ้นมาด้วย

- เมื่อมือเลื่อนมาถึงช่วงหน้าผาก ให้สะบัดมือออกไปจากใบหน้า รู้สึกเหมือนกับว่าคุณโยนความคิดออกจากหัว ทำซ้ำเร็วๆ 10-30 ครั้ง

- วางมือขวาไว้บนหน้าผาก แล้ววางมือซ้ายทับลงไปอีกที สูดหายใจทางจมูกลึกๆ 5 ครั้ง จนคุณรู้สึกว่าอากาศลงลึกไปถึงท้อง

- หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ ไปแล้ว ให้หายใจออกระดับปกติ

- นั่งนิ่งๆ ไว้สักครู่ แต่มือยังอยู่ที่หน้าผากเหมือนเดิม

เส้นเลือดขอด (Varicose Veins)

หรือ Spider Vein คือโรคมักเกิดขึ้นตามผิวของขาตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน ที่มักจะพบได้บ่อยที่สุดคือบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่
ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจโดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้นพลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิทเลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดแตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรง

บุคคลที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้

1. นางพยาบาล โดยอาชีพต้องใช้การเดินเพื่อดูแลพยาบาลคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน เราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ว่านางพยาบาลหลายคนจะสวมใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่องเพื่อป้องกันไว้ก่อน

2. พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ
การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี้ก็ว่าได้ เพราะการยืนจะหมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจที่จะให้บริการของพนักงาน โดยต้องใช้เวลาในการยืนนานติดต่อกันประมาณ 6-8 ชั่วโมง รองเท้ายิ่งจะต้องเป็นรองเท้าส้นสูงเพื่อเพิ่มความสง่าและความสวยงาม เลยให้เป็นบ่อเกิดของเส้นเสือดขอดได้ง่าย

3. แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ต้องยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศจากการขึ้น-ลงเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนมาสวมรองเท้าส้นเตี้ยขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า

4. คุณครู ที่ต้องยืนสอนหน้าชั้นเรียนเป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมง ยี่งชุดข้าราชการครูบ้านเราเป็นชุดที่ต้องแต่งให้เรียบร้อย ต้องใส่รองเท้าส้นสูง และต้องยืนเป็นเวลานานๆ อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย

5. พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง
จะต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลายชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกทำให้ต้องเกร็งขาไว้ตลอดการเดินทาง

6. สาวออฟฟิศ อาจจะดูเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่สุด แต่จริงๆ แล้ว การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง ที่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือบางคนคิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงตามกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมาเพื่อติดต่อเอกสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน

วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด


- ควรหลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด สำหรับในบางอาชีพ หน้าที่การงานเป็นตัวบังคับก็ต้องอาศัยการออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่องและขา โดยใช้วิธีการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง พอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ก็ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออกก่อนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ตั้งหลังให้ตรงและยกขาข้างหนึ่งขึ้นให้สูงระดับสะโพกและหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นก็ทำสลับอีกข้างหนึ่ง

- ควรหลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า เพราะจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าซัก 2 นิ้วโดยประมาณ

- สำหรับคุณที่เป็นคนอ้วนก็ควรจะต้องลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดของน้ำหนักทั้งหมดที่จะลงไปสู่ขาและเท้า

อันตรายจากการจูบ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การจูบนั้นอาจไม่มีความปลอดภัยเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อโรคจากน้ำลายได้หลายอย่าง ที่พบบ่อยคือ โรคเริม ซึ่ง จะเป็นตุ่มน้ำเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่ริมฝีปาก จมูก คาง แก้ม เกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) ในอเมริกาพบว่าเมื่อ วัยรุ่นอายุครบ 20 ปี ส่วนใหญ่จะมีการ ติดเชื้อเริมที่ปากไปแล้ว และเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) เริมเป็นแล้วจะไม่หายขาด เมื่อ ผู้ติดเชื้ออ่อนแอ เช่น เป็นไข้ โดนแดดจัด หญิงก่อนมีประจำเดือน เริมจะกำเริบได้ หากแกะเกาตุ่มน้ำแล้วสัมผัสนัยน์ตา กระจกตาอาจอักเสบจนถึงขั้นตาบอด ที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันเชื่อว่าการ ติดเชื้อเริมที่ริมฝีปาก (HSV-1) อาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมหรือที่เรียกว่าอัลไซเมอร์ได้ โดยตรวจพบเชื้อไวรัสเริม (HSV-1) ในคราบสมอง (beta-amyloid plaques) ของผู้ป่วยที่เป็น โรคนี้

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเริม ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่าให้งดเว้นการจูบพร่ำเพรื่อ การมีเพศสัมพันธ์ สำส่อน งดการใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ตลอดจนแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น เพื่อความปลอดภัยควรใช้หลอดดูด ดูดน้ำจากแก้ว สำหรับผู้หญิงที่ชอบทดลองลิปสติกตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเริมได้ ผู้ที่เข้าใช้บริการห้องน้ำสาธารณะก็มีโอกาสติดเชื้อเริมที่ก้น ดังนั้นจึงควรใช้กระดาษชำระปูรองนั่ง การทุกครั้ง ทักทายโดยการจูบแบบชาว ตะวันตกนั้นก็เพิ่มการติดเชื้อเริมได้อย่างมาก การทักทายโดยการไหว้แบบไทยๆ นับว่าเป็นการทักทายปลอดภัยกว่า

นอกจากโรคเริมแล้วการจูบปากแบบแลกน้ำลายยังทำให้ติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ คือ โรคไวรัสตับอักเสบ บี เอ และน่าจะถ่ายทอดไวรัส ซี ได้ด้วย ซึ่งล้วนเป็นโรคเรื้อรังเป็นแล้วไม่หายขาด มีโอกาสทำให้ตับอักเสบ ตับแข็ง ตับวาย และอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ ทั้งนี้การจูบอาจถ่ายทอดโรคโมโนนิวคลิโอสิส (infectious mononu- cleosis) ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอปสตีน บาร์ ไวรัส (Epstein Barr Virus, EBV) โรคนี้จึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่าโรคจากการจูบ (kissing diseases) มักพบในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โรคนี้ทำให้เกิดอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต เจ็บคอ ปวดหัว เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และตับอักเสบ

แต่ก็ได้มีความเเข้าใจที่ผิดๆ อยู่เหมือนกัน สำหรับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ซึ่งหลายคนกลัวนั้น โดยทั่วไปการจูบไม่ทำให้ติดโรคนี้ ยกเว้นแต่ว่าเป็นการจูบแบบเปียกที่ผู้ที่เราไปจูบด้วยได้มีแผลมีเลือดออกในช่องปากและมีเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว และตัวเราก็มีแผลในช่องปากเองด้วยก็ทำให้เชื้อเอชไอวี แพร่จากอีกคนไปสู่อีกคนหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม การจูบยังทำให้ติดเชื้อไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส หูดข้าวสุก และโปลิโอได้ด้วย

มาทำสปาเท้าด้วยชาเขียวกันดีกว่า

หลังจากโดนใช้งานหนักมาทั้งวัน ทั้งเดินทั้งวิ่งทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยเท้ามาก หลังจากถอดรองเท้าออกมายังส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาเข้าจมูกอีกตะหาก ถ้าอยากรู้สึกสบายเดินเข้าไปในห้องน้ำล้างเท้าให้สะอาด แล้วมานั่งทำสปาให้เค้าซักหน่อย เพื่อเตรียมลุยงานใหม่ในวันพรุ่งนี้ เรามีสปาสูตรชาเขียวซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าด้วย




สิ่งที่ต้องเตรียม

กะละมังสำหรับแช่เท้า 1 ใบ
แปรงหรือหินขัดเท้า 1 อัน
ชาเขียวชนิดผง 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำร้อน 1 ถ้วย
น้ำอุ่นจัด ½ กะละมัง

ขั้นตอนการทำสปาเท้า

1. ละลายชาเขียวในถ้วยน้ำร้อนแล้วทิ้งไว้ 5 นาที
2. เทน้ำชาที่ได้ลงในน้ำอุ่นจัด ในอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เท้าจะทนได้
3. แช่เท้าลงไปแล้วหาหนังสือการ์ตูนเล่มเล็กมาอ่านจนจบ
4. จากนั้นขัดเท้าด้วยแปรงหรือหินขัดเท้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังแน่นออกไป
5. เช็ดเท้าให้แห้งและชโลมโลชั่นให้ทั่วเท้าแค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย

เห็นความเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าล่ะคะ ว่าก่อนทำกับหลังความอย่างไหนสบายกว่ากัน มันก็แน่นอนอยู่แล้ว การได้แช่เท้าลงไปในน้ำอุ่นๆ แถมยังมีกลิ่นของชาเขียวหอมอ่อนๆ อีกด้วยช่วยทำให้คุณรู้สึกปลดปล่อยอารมณ์เครียดไปได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ นอกจากนี้ชาเขียวยังมีคุณสมบัติกำจัดแบคทีเรียและกลิ่นไม่พึงประสงค์ เห็นคุณแม่บ้านหลายบ้านมักจะนำใบชาเขียวมาโปรยไว้บนพรมก่อนดูดฝุ่น หรือนำมาผสมน้ำล้างอุปกรณ์เครื่องครัว จึงเหมาะสำหรับคนรักเท้าหรือมีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้า และที่สำคัญสูตรนี้สามารถทำได้ทุกวันโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เลย เพิ่มเติมอีกนิดนึงหลังจากที่คุณทำสปาเสร็จและเช็ดเท้าให้แห้งแล้ว ถ้าหากในกรณีที่เท้าของคุณแห้งมาควรหาปิโตรเลียมเจลมาทาให้ทั่วและสวมถุงเท้าไว้ประมาณ 10 นาทีเพื่อให้เนื้อเจลซึมเข้าผิว เพื่อป้องกันเท้าแห้งกร้านและส้นเท้าแตกด้วยก็จะเป็นการดี

โรคเชื้อราที่เท้า (Tinea Pedis)

โรคเชื้อราที่เท่าหรือเป็นโรคที่รู้จักกันดีในชื่อ โรคน้ำกัดเท้าหรือฮ่องกงฟุต ที่เคยเห็นโฆษณาขายยาหลายยี่ห้อทางทีวี ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถก่อโรคที่ผิวหนังได้ โดยเฉพาะที่เท้า ซอกนิ้วเท้า และเล็บเท้า ถึงแม้บางครั้งโรคผิวหนังชนิดนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากเชื้อราเพียงอย่างเดียว แต่ก็เพราะว่ามักจะมีเชื้อแบคทีเรียมาร่วมด้วย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการติดเชื้อราที่เท้านั้นก็คือ ความชื้นและความเปียก ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้ทั้งในฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนอบอ้าว และช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกน้ำท่วมขัง คนที่ต้องลุยน้ำท่วมหรือเดินตามพื้นแฉะๆ โดยเท้าสัมผัสกับน้ำโดยไม่มีเครื่องป้องกัน ก็มักจะได้รับเชื้อโดยตรง อย่างเช่น พวกชาวนา หรือพวกที่ทำงานตามฟาร์ม และชาวประมง แล้วยังรวมไปถึงกลุ่มคนในอาชีพที่ต้องสวมรองเท้าทำงานอับไว้ทั้งวัน เพราะรองเท้าจะเป็นตัวก่อให้เกิดความอับชื้น ทำให้กลายเป็นที่เพาะเชื้อรากอย่างดี ซึ่งเชื้อรานี้จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพเหมาะสมเช่นนั้น นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนสูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ เช่น คนไข้โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดตีบ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง มักจะมีความผิดปกติของเส้นเลือดที่เท้า รวมถึงผู้มีปัญหากระดูกเท้าผิดรูป เป็นต้น

ลักษณะอาการที่จะเกิดขึ้นมีได้หลายแบบ ได้แก่ ผื่นขาวยุ่ยที่ง่ามเท้า ตุ่มน้ำพองที่ฝ่าเท้า หรือฝ่าเท้าแดงมากจนเป็นขุย อาจมีโรคเชื้อราที่เล็บเท้าร่วมด้วย ซึ่งมีอาการที่สังเกตเห็นได้ชัด เช่น ใต้เล็บมีลักษณะหนา มีการหลุดร่อนระหว่างเล็บกับฐานเล็บ เล็บอาจมีการผุกร่อน หรือเปลี่ยนสีเช่นเป็นสีขุ่นขาวได้

โรคเชื้อราที่เท้านี้เกิดจากเชื้อราได้หลายชนิด แต่ที่พบบ่อยๆ คือ เชื้อยีสต์แคนดิดา เชื้อกลาก และเชื้อกลากเทียม การสังเกตอาการของโรคดังกล่าวจึงทำได้ค่อนข้างยาก แม้กระทั่งหมอผิวหนังที่ชำนาญยังอาจดูผิดพลาดได้ ทางที่ดีจึงควรได้รับการตรวจยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่เมื่อมีอาการผิดปกติที่เท้ามักคิดว่าเป็นโรคเชื้อราที่เท้าไว้ก่อน โดยที่ความจริงโรคที่เป็นอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อรา และหลายคนมักซื้อยามาใช้เองแบบผิดๆ ถูกๆ นอกจากโรคไม่หายแล้ว ยังบดบังรอยโรคเดิม เมื่อมาหาหมอก็ทำให้การวินิจฉัยโรคได้ยากขึ้น

ถึงแม้เราจะใช้ยาทาจนดูเหมือนหายดี แต่มักจะมีเชื้อหลงเหลืออยู่ เมื่อเท้าอับชื้นขึ้นเมื่อใด เชื้อราก็จะลุกลามขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดอาการเป็นๆ หายๆ อยู่เป็นประจำ การดูแลป้องกันโรคเชื้อราที่เท้าไม่ให้กลับเป็นซ้ำอีกจึงมีความสำคัญ หากมีอาการรุนแรงและเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจจะมีผลข้างเคียงต่อตับไต และควรรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดใช้ยาเอง แม้ว่าจะดีขึ้น การหยุดยาเร็วเกินไปขณะที่เชื้อยังไม่หมด มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีกได้ง่าย ฉะนั้นเราควรหมั่นทำความสะอาดเท้าและเช็ดให้แห้งทุกครั้งหลังสัมผัสกับน้ำก็เป็นทางช่วยไม่ให้เรากลับมาเป็นซ้ำอีก

ทำไมร่างกายต้องการน้ำในปริมาณมาก












ชีวิตถือกำเนิดในน้ำและเรามีชีวิตโดยขาดน้ำไม่ได้ เราเคยรับรู้มาว่าให้ดื่มน้ำวันละ 7-8 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่เสียไปแต่ละวัน เพราะร่างกายประกอบด้วยน้ำสองในสามหรือ 70% โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายจะสูญเสียน้ำ 2.5 ลิตรต่อวัน เลือดของเราเป็นน้ำถึง 92% กระดูกของเราเป็นน้ำ 22% กล้ามเนื้อของเราเป็นน้ำ 75% (ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมแค่ร่างกายขาดน้ำปานกลางที่ทำให้เราปวดหัวและง่วงนอน)

ประโยชน์พื้นฐานของน้ำที่มีต่อร่างกาย
1. รักษาอุณหภูมิร่างกายให้สม่ำเสมอ
2. น้ำส่งสารอาหารและออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง
3. ทำให้ออกเจนชุ่มชื่นสำหรับการหายใจ
4. ป้องกันอวัยวะสำคัญ
5. ช่วยเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน
6. ช่วยร่างกายดูดซึมสารอาหาร
7. ช่วยรับมือกับความเครียด
8. กำจัดของเสีย

ทำอย่างไรดี ถ้าคอลเรสเตอรอลสูง

ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถ้าปล่อยให้ไขมันในเส้นเลือดสูง เพราะเส้นเลือดจะอุดตัน อันตรายถึงสิ้นชีวิตกันได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าให้เส้นเลือดเปรียบเหมือนท่อประปา คลอเรสเตอรอลก็คงจะเหมือนคราบดินที่เกาะอยู่ในท่อนั่นแหล่ะ วิธีที่จะลดคราบดินลง คือการกวาดออกไปซึ่งทำได้ยากมากกับการไม่ให้มีดินมาพอกเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าวิธีลดคอลเรสเตอรอลมันยาก เรามาดูวิิธีควบคุมไม่ให้มีเพิ่มมากขึ้น โดยวิธีดังต่อไปนี้



1. ควบคุมอาหาร ลดอาหารจำพวกไขมัน ส่วนอาหารต้องห้ามก็คือ พวกเครื่องในสัตว์ ตับวัว ตับหมู หนังเป็ด หนังไก่ ปลาหมึก หอยแมลงภู่ หอยนางรม แกงกะทิ ส่วนน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารควรเลือกเฉพาะน้ำมันพืชเท่านั้น
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเผาผลาญไขมัน
3. งดสูบบุหรี่ เพราะว่าบุหรี่เป็นตัวทำให้ไขมันตัวดีในเส้นเลือดต่ำลง แล้วยังทำให้หัวใจขาดเลือดอีกด้วย
4. งดเครื่องดื่มจำพวกเบียร์และงดทานขนมหวาน และพวกแป้ง จะช่วยลดการเกิดไขมันไตรกรีเซอไลด์ได้
5. เลือกทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพราะจะช่วยให้ร่างกายได้รับกากอาหารเพิ่มขึ้น

ห้องนอนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ (Allergy)

รู้มั๊ยคะว่าอากาศที่เราหายใจเข้าออกทุกวัน ปนเปื้อนด้วยสิ่งสกปรกและสารพิษมากมาก ที่จะก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ไม่เว้นแม้แต่ห้องนอนแสนรักของคุณเอง เวลานอนหลับบนที่นอนนุ่มๆ ของคุณ คุณไม่คิดหรอกว่ามันอาจเป็นตัวต้นเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ ทั้งเชื้อรา ฝุ่น ควัน ขี้แมลงสาบ และไอระเหยของสารเคมีบางอย่างภายในห้องนอนของคุณ ล้วนแต่ไปกระตุ้นภูมิแพ้และส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรังได้ แม้บางครั้งเราไปพบแพทย์ให้รักษาอาการแล้วก็ยังไม่หายขาดเพราะคุณต้องกลับไปนอนที่ห้องนอนของคุณเหมือนเดิมไปสัมผัสสิ่งที่อยู่ในห้องนอนเดิมๆ เพราะฉะนั้น คุณควรให้ความสำคัญกับการดูแลความสะอาดของห้องนอนให้อยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัยจากสิ่งที่กระตุ้นภูมิแพ้ได้โดยวิธีดังต่อไปนี้

1. ภายในห้องนอนของคุณเต็มไปด้วยฝุ่นหรือไม่ การได้หลับพักผ่อนในห้องนอนที่มีอากาศสะอาดปราศจากฝุ่น จะช่วยทำให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ ตื่นนอนขึ้นมารู้สึกสดชื่นหรือฟื้นคืนจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น

2. บริเวณพื้นห้องนอนปูด้วยพรมหรือไม่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะพรมจะกลายเป็นที่ดักฝุ่นและเป็นแหล่งของไรฝุ่นที่เป็นตัวก่อให้เกิดภูมิแพ้ แล้วยังดูแลรักษาความสะอาดได้ยากกว่าพื้นไม้หรือกระเบื้องอีกด้วย

3. คุณมีนิสัยชอบสูบบุหรี่ในห้อง ใช้น้ำยาหรือน้ำหอมปรับอากาศหรือไม่ ถ้าตอบว่าเป็นประจำ ขอบอกเลยว่าสิ่งเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ควรหลีกเลี่ยง

4. คุณเป็นคนชอบซักและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเครื่องนอนบ่อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม และผ้านวม ควรถอดซักได้และควรเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ ควรซักด้วยน้ำสะอาดและอุณหภูมิที่ใช้ไม่ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้จะไม่สามารถกำจัดไรฝุ่นบนเครื่องนอนของคุณได้

5. การเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องตกแต่งที่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่าน สีทาผนัง ตู้ โต๊ะ พรม ควรเลือกซื้อชนิดที่มีข้อความระบุว่าไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในการผลิต ปัจจุบันผู้ผลิตสินค้าบางประเภทเริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าวกันมากขึ้น ก็เป็นเรื่องดีสำหรับผู้บริโภคเช่นเรา

6. คุณเคยเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทบ้างหรือไม่ บ้านไหนที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศในห้องได้ถ่ายเทบ้าง หรือหากปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามาบ้างสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี และจะดีอย่างยิ่งถ้ามีเครื่องฟอกอากาศ หรือใช้แผ่นดักจับสิ่งแปลกปลอมในอากาศฟิลทรีตชนิดที่ใช้กับ เครื่องปรับอากาศ และต้องไม่ลืมคอยเปลี่ยนแผ่นกรองประจำตามสภาพการใช้งาน เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการกรองอากาศให้ดีอยู่เสมอ

แค่คุณหมั่นดูแลห้องนอนของคุณได้ตามที่กล่าวมาแล้วทั้ง 7 ข้อ รับรองคุณจะเป็นบุคคลที่ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้อย่างแน่นอน

คอลลาเจน (Collagen )


คอลลาเจนคือ โปรตีนชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบหลักๆ ที่อยู่ใต้ชั้นหนังแท้ โปรตีนชนิดนี้มีส่วนประกอบถึง 25% ถึง 35% ของจำนวนหน่วยโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย แต่จะมีมากที่สุดที่ผิวหนัง ส่วนที่ปะปนอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อมีแค่ 1-2 % เท่านั้นเอง โดยจะทำหน้าที่ประสานเนื้อเยื่อของผิวหนังเข้าด้วยกัน โปรตีนแห่งความงามนี้ มีชื่อเรียกว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนสำคัญของผิวหนัง เพราะเป็นส่วนสปริงของผิวหนัง ในการสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ แต่เมื่ออายุย่างเข้าปีที่ 20 จะเริ่มมีการสูญเสียคอลลาเจน ทุกๆ ปี ปีละ 1% เมื่อขาดคอลลาเจน ผลเสียที่ตามมา คือ ทำให้ผิวเกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น หยาบกระด้าง ไม่หยืดหยุ่น เพราะฉะนั้น การเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวกายนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ปัจจุบันนี้จะมีการพูดถึง คอลลาเจน กันอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์แห่งความงามและเครื่องสำอาง และ ความงาม
สำหรับคอลลาเจนมีการนำมาใช้งานอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ศัลยกรรมความงาม ศัลยกรรมกระดูก การจัดฟัน และวงการศัลยกรรมทั่วไป เป็นส่วนประกอบของผิวหนังสังเคราะห์ที่ใช้ในผู้ป่วยที่สูญเสียผิวหนังเนื่อง จากอุบัติเหตุไฟไหม้ ซึ่งใช้คอลลาเจนสังเคราะห์จากผิวหนังของลูกวัว(Bovine), หรือจากหมู (Equine, Porcine) บางครั้งจะใช้ผิวหนังจากผู้บริจาค หรือใช้ซิลิโคนสังเคราะห์แทน
เนื่องจากคอลลาเจนเมื่อรับประทานเข้าไปจะย่อยสลายเป็นโปรตีนและกรดอะมิโนใน จึงไปช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดังนั้นปัจจุบันนี้จึงได้มีการคิดค้น นำสารสกัดโปรตีนจากปลาทะเลบางประเภท ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้างของคอลลาเจนของผิวคน โดยวิธีการ (Enzymatic Hydrolysis) มาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วพบว่าภายหลังการรับประทานไประยะหนึ่ง จะสามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ จางหายไป
วิธีการนำคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย
วิธีการนำสารสกัดโปรตีนคอลลาเจน เข้าสู่ร่างกายเพื่อหวังผลในการบำรุงผิว และลดริ้วรอยนั้น ปกติจะทำได้อยู่ 2 วิธีคือ โดยการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ซึ่งต้องจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ส่วนวิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีการที่สะดวกกว่า ผลที่ได้รับจากการบริโภคคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังอย่างได้ผล และทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มเนียนขึ้น
ประสิทธิผลของการใช้คอลลาเจนระยะเวลาที่จะเห็นผลตั้งแต่ 30 - 60 วัน
- ริ้วรอยตื้นขึ้น 50%
- ผิวที่หย่อนยานกระชับขึ้น 60%
- ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น 45%
- จะพบว่าในส่วนของผม, เล็บ จะแข็งแรง และ หนาขึ้น

หมายเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างถึงแม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าไม่รู้จักศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนนำมาใช้หรือว่าไม่ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ อาจะเป็นโทษต่อร่างกายได้

การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน

หลายคนคิดว่าไม่มีความจำเป็น ในเมื่อเรารักกัน เรารู้จักกันดีแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน บางคนก็กลัวแฟนจะเข้าใจผิดว่าไม่ไว้ใจเค้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการตรวจสุขภาพ เพื่อเช็คสภาพความพร้อมและความสมบูรณ์ของร่างกาย เนื่องจากคนที่จะแต่งงานส่วนใหญ่มักจะอยู่ในวัยเจริญพันธ์ เป็นช่วงที่สุขภาพค่อนข้างดี ถึงแม้จะมีโรคประจำตัวแต่ก็มักไม่มีอาการ แต่ในอนาคตอาจเป็นพาหะนำโรคไปสู่คู่สมรสหรือว่าลูกน้อยที่เกิดขึ้นมาในอนาคตด้วย ฉะนั้นเหตุผลที่เราจะต้องตรวจสุขภาพก็คือ

1. เพื่อสกัดกั้นการส่งผ่านโรคสู่คนที่เรารัก
2. เพื่อตรวจความพร้อมของคุณแม่มือใหม่
3. เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย
4. เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เค้าตรวจอะไรกันบ้าง
1. ตรวจร่างกายทั่วไปโดยละเอียด เช่น เช็คความดันโลหิต , วัณโรค , โลหิตจาง
2. ตรวจดูระดับความสมบรูณ์ของเม็ดเลือด เนื่องจากโรคเกี่ยวกับเลือดสามารถติดต่อทางพันธุกรรม ไปสู่ลูกได้ เช่น
- โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ คือ ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ส่งผลให้ลูกมีการเจริญเติบโตช้า ไม่สมอายุ เด็กบางคน ตับ ม้ามโต ตัวซีดเหลือง หากมีอาการรุนแรง มีอันตรายถึงชึวิตได้
- โรคฮีโมฟีเลีย เป็นความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ มีอาการเลือดออกง่าย และหยุดยาก
- โรคพร่องเอนไซม์ G-6-PD เป็นโรคที่ติดตัวตลอดชีวิต หากเม็ดเลือดแดงเอนไซด์แตก ลูกจะตัวซีดเหลือง มีอาการเหมือนดีซ่าน ถ้าเม็ดเลือดแตกมาก ก็อาจช็อกได้
3. ตรวจกรุ๊ปเลือด เพื่อสะดวกในกรณีที่ต้องการเลือดฉุกเฉิน
4. ตรวจหาเชื้อเอดส์ เป็นโรคที่ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือด และสามารถติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกได้ เป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้
5. ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส เป็นโรคที่ติดทางเพศสัมพันธ์ และอาจเกิดกับทารกที่มีมารดาเป็นซิฟิลิส
6. ตรวจหาเชื้อและหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคที่สามารถติดต่อไปยังลูก และคู่สมรส ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับ และโรคตับแข็ง เราสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนคุ้มกัน ดังนั้นก่อนที่เราจะฉีดวัคซีน ทางโรงพยาบาลจะขอตรวจเลือดเพื่อเช็คว่าเรามีภูมิคุ้มกันแล้วหรือยัง
7. ตรวจหาภูมิคุ้มกันเชื้อหัดเยอรมัน เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีไข้ ข้ออักเสบ ต่อมน้ำ-เหลืองโต เป็นผื่นตามตัว และเป็นโรคที่สามารถติดต่อไปยังลูกและคู่สมรสได้ ถ้าโรคนี้เป็นในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกที่อยู่ในครรภ์พิการ คุณหมอจึงแนะนำให้ว่าที่คุณแม่ทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน ก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์ 2 เดือน ซึ่งก่อนที่จะฉีด คุณหมอต้องเช็คให้แน่ใจก่อนว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์

โปรแกรมตรวจสุขภาพที่แต่ละโรงพยาบาลกำหนดไว้สำหรับคู่แต่งงาน
1. ตรวจร่างกายโดยแพทย์
2. ตรวจวัดความดันโลหิต / วัดชีพจร / ชั่งน้ำหนัก / วัดส่วนสูง Body Weight & Height>
3. ตรวจหาหมู่เลือด
4. ตรวจชนิดของกลุ่มเลือด
5. ตรวจนับปริมาณ และ ชนิดของเม็ดเลือด
6. ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
7. ตรวจกามโรค หรือ ซิฟิลิส
8. ตรวจหาเชื้อไวรัสเอดส์
9. ตรวจปัสสาวะอย่างสมบูรณ์
10. ตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมของเม็ดเลือดแดง
11. ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน สำหรับเจ้าสาวเท่านั้น



ทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง

มะเร็ง(cancer) คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะ ทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะการ เจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น

วิธีปฏิบัติตนเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
- ไม่สูบบุหรี่ เลิกเคี้ยวหมาก ไม่ดื่มสุรามากจนเกินไป
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเพิ่มอาหารที่มีปริมาณกากใยสูง
เช่นผัก ผลไม้ ธัญพืชเป็นต้น
- หลีกเลี่ยงจากสารก่อมะเร็ง เช่น สารเคมีต่างๆ การสูดดมควันบุหรี่
หรือควันจากท่อไอเสีย หรือน้ำมันเบนซิน อาหารใส่ดินประสิว อาหารรมควัน
อาหารที่ไหม้เกรียมจากการปิ้ง ย่าง ทอด และไม่รับประทาน อาหารที่มีเชื้อราขึ้น เป็นต้น
- ลดอาหารไขมันสัตว์ และเนื้อสัตว์สีแดง
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนจัด
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีในเด็กแรกเกิด
- องกันการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ โดยเลิกรับประทานปลาน้ำจืดดิบ ๆ ที่มีเกล็ด
- หลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจหามะเร็งระยะเริ่มแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็ง
ที่สามารถตรวจพบได้ในระยะแรก คือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม
มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งต่อมลูกหมาก
- ปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ

เคล็ดลับนอนหลับให้สบาย


การนอนไม่หลับนับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากมักเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความ เครียด สุดท้ายพอถึงเวลาเข้านอน ก็คิดมากฟุ้งซ่าน พยายามข่มตานอนให้หลับยังไงก็นอนไม่หลับ ถึงแม้จะหลับก็หลับไม่สนิท มักจะตื่นเป็นระยะๆ บ่อยครั้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความงัวเงียไม่กระปรี้กระเปร่า ทำให้เสียประสิทธิภาพในการเรียนหรือว่าการทำงานของวันนั้นๆ ถ้าปล่อยให้เป็นบ่อยๆ ขึ้นก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย ถ้าใครไม่อยากเป็นแบบนี้ลองอ่านเกร็ดความรู้นี้รับรองนอนหลับสบายแน่นอน

1.ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน

2.ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน

3.วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก

4.อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน

5.หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น

6.ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท

7.หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ

8.เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ

วิธีการถนอมดวงตา


ดวงตาเป็น อวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีความสำคัญมาก ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีอาการสายตาสั้น พออายุมากขึ้นเราก็ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นโรคสายตายาวได้ ในเมื่อตอนนี้เรายืนยันว่าเราจะไม่มีปัญเหล่านั้นก็จริง หากไม่รู้จักดูแลรักษา ก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการมองเห็นได้ ถ้าอยากให้ดวงตาของเราใช้งานไปได้นาน ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้สายตานาน ๆ เช่น นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือเพ่งอะไรนาน ๆ แสงไม่เพียงพอ และไม่ควรเอามือจับหรือสัมผัสดวงตาในขณะที่ยังไม่ล้างมือ เพราะมือไม่สะอาดอาจมีเชื้อโรค นอกจากนี้ในกรณีที่อยู่ในที่กลางแจ้ง แดดจัด หรือ ลมแรง ควรสวมแว่นตากันแดด เพื่อช่วยป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา
นอกจากนี้ การถนอมดวงตาของตนเอง ยังสามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้

1. ครอบดวงตา ด้วยการโค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย อยู่ในท่านี้สักประมาณ 10นาที
2. สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใส มีรายละเอียดต่าง ๆ ชัดเจน สายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี
3. กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ เพื่อทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย
4. กะพริบตา กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก 10 วินาที จะช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำเหลืองหล่อเลี้ยง
5. โฟกัสภาพที่ใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกันตั้งนิ้วชี้มือขวา ให้ห่างจากใบหน้า สัก 3 นิ้ว โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา
6. ชะโลมดวงตา หลังตื่นนอนทุกเช้าให้ใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดี
7. แกว่งตัว ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวา ถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกลๆ แต่ไม่ต้องจ้อง ปล่อยให้จุดที่เรามอง แกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัว ท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พัก และมีการปรับตัวดีขึ้น

เมื่อดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกายของคนเรามาก คงไม่มีใครต้องการที่จะอยากอยู่ในโลกมืดและไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นไปรอบๆตัวเรา ดังนั้น ก่อนเราจะตัดสินใจทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับดวงตา ควรจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ หมั่นดูแลใส่ใจสุขภาพตาของเรา


ไซนัส (Sinus)


ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วหลายคนเริ่มเป็นหวัดแล้ว ถ้าเป็นนิดๆ หน่อยๆ อาการไม่รุนแรงมากก็รีบหายามากินเลย อย่าปล่อยให้เป็นนาน แต่ถ้าใครยังไม่เป็นก็จงดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าร่างกายอ่อนแอ โรคร้ายก็จะถามหา ส่วนใครที่เป็นหวัดอยู่แล้วถ้าเป็นเกิน 3 วัน คงต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรังนานๆ อาจจะทำให้เกิดอาการไซนัสอักเสบตามมาอีก บทความนี้เลยมีเรื่องไซนัสมาให้ทุกท่านๆ ได้รู้จัก สำหรับคนที่เป็นอยู่แล้วก็จะได้รู้วิธีดูกแลรักษา


ไซนัส หมายถึง โพรงอากาศที่อยู่รอบๆ โพรงจมูกทั้งซ้ายและขวา โดยปกติคนเรามีโพรงไซนัสทั้งหมด 4 แห่ง คือ บริเวณระหว่างตาทั้งสองข้าง บริเวณแก้ม บริเวณหน้าผาก และบริเวณในสุดของรูจมูก และที่ใต้ฐานกะโหลก โพรงอากาศนี้เป็นที่โล่งๆ ในกะโหลกศีรษะ แต่ละโพรงอากาศจะมีรูระบายอากาศตามธรรมชาติโพรงละหนึ่งรู ซึ่งจะระบายเข้าสู่โพรงจมูก
- คัดจมูก น้ำมูกข้นเขียวหรือเหลือง
- หายใจมีกลิ่นเหม็น บางครั้งการรับรู้กลิ่นจะสูญเสียไป
- ปวดศีรษะ ปวดขมับ ปวดแก้ม ปวดท้ายทอย หนักหัว ปวดบริเวณรอบๆ จมูก เบ้าตาหรือหัวคิ้วหน้าผาก ในเด็กบางคนอาจจะบ่นว่ามีอาการปวดศีรษะโดยเฉพาะเวลาเช้า
- เสมหะข้นไหลลงคอ ไอบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน
- เลือดออกทางจมูก (พบในบางราย)
- รายที่เป็นรุนแรงอาจมีไข้สูง ตาบวมอักเสบได้ เป็นต้น

วิธีการรักษาไซนัสอักเสบ
ในระยะเริ่มต้น ไซนัสอักเสบสามารถรักษาทางยาได้ ที่สำคัญต้องควบคุมหรือแก้ไขสาเหตุบางอย่าง (Predisposing factor) เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ (Recurrence) ได้แก่
- ควบคุมและรักษาโรคภูมิแพ้ทางจมูก (ปรึกษาแพทย์)
- ผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติของช่องจมูก เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด
สำหรับไซนัสอักเสบเรื้อรัง การรักษาทางยาอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ บางครั้งจำเป็นต้องทำการผ่าตัดไซนัสร่วมด้วย ได้แก่
- การเจาะล้างไซนัส : ในรายที่มีน้ำมูก หรือหนองคั่งอยู่ในไซนัส
- การผ่าตัดขยายรูเปิดของไซนัส
- การผ่าตัดริดสีดวงจมูก

ข้อแนะนำสำหรับการดูแลตนเอง
- พักผ่อนเพียงพอ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่หักโหม
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำเมื่อมีอาการคล้ายหวัดกำเริบ
- หลีกเลี่ยงภาวะอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงฉับพลัน
- ถ้ามีอาการมากขึ้น ควรรีบพบแพทย์ รับประทานยา และติดตามการรักษาสม่ำเสมอ

นิ้วล็อค (Trigger Finger)


เป็นกลุ่มอาการอักเสบของเอ็นนิ้วมือที่พบบ่อยในวัยกลางคน น่าแปลกที่เราพบโรคนี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบมากในคนที่ทำงานใช้มือมากๆ มีการกำมือ งอนิ้วบ่อยๆ เช่น คนที่ทำงานทอผ้า คนที่นั่งพิมพ์ดีด คนที่ใช้คอมพิวเตอร์วันละหลายชั่วโมง หรือคุณแม่บ้านที่ไปจ่ายตลาดแล้วใช้นิ้วหิ้วถุงพลาสติกใส่ของหนักๆ หลายๆ ถุง เป็นเวลานานๆ นอกจากนี้ยังพบในคนที่มือเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ และพบร่วมกับผู้ป่วยโรคข้ออับเสบชนิดรูมาตอยด์ พบในผู้ป่วยเบาหวานได้มากกว่ากลุ่มอื่น นิ้วล็อคมักจะเป็นกับนิ้วกลางและนิ้วนางมากกว่านิ้วชี้และนิ้วก้อย


อาการของนิ้วล็อคคือ เวลากำมือแล้วเวลาที่แบมือออก จะเหยียดนี้วกลางหรือนิ้วนางไม่ได้ กว่าจะเหยียดออกได้ต้องใช้เวลาและติดขัด ซึ่งไม่ใช่อาการอันตราย แต่สร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เป็นโรคนี้ การใช้มืออาจไม่สะดวกเหมือนปกติ บางคนรู้สึกอาย หรือบางคนอาจกังวลว่าเป็นโรคข้อหรือว่ามีข้อเคลื่อนหรือเปล่า ที่จริงแล้วไม่ใช่นะครับ แต่เกิดจากเอ็นนิ้วมือบวมอักเสบ

การรักษานิ้วล็อคมีหลายวิธี ได้แก่
1. การใช้ความร้อนประคบ วิธีนี้ใช้ช่วยเหลือบรรเทาอาการทำให้นิ้วที่ล็อค สามารถเหยียดออกได้ง่ายขึ้น แต่วิธีนี้ไม่ใช่การรักษาให้หายขาดครับ เพียงแต่เป็นการช่วยปฐมพยาบาลขั้นต้นเท่านั้น
2. การรับประทานยาแก้อักเสบของกล้ามเนื้อ การรับประทานยาจะช่วยลดอาการอักเสบของเอ็นนิ้วมือ มักจะได้ผลดีในกรณีที่อาการนิ้วล็อคเพิ่งเป็น ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ หากเป็นนานหรือว่าเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง การรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่ได้ผล
3. การฉีดยาเข้าในเอ็นข้อนิ้วที่อักเสบ เป็นการฉีดยาลดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และเอ็นเข้าไปโดยตรง (ภาพที่ 1) วิธีนี้มักจะได้ผลดี เนื่องจากยาจะเข้าไปรักษาบริเวณที่อักเสบโดยตรง แต่ผู้ป่วยมักไม่ชอบเพราะเจ็บ
4. ในกรณีที่เป็นซ้ำๆหลายครั้ง การกินยา ฉีดยาอาจไม่ได้ผล อาจจำเป็นต้องผ่าตัด เพื่อแก้ไขเอ็นนิ้วมือส่วนที่มีการอักเสบครับ การผ่าตัดนิ้วล็อค เป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาทำไม่นาน ผู้ป่วยไม่ต้องค้างโรงพยาบาลครับ ฉีดยาชาทำเสร็จสามารถกลับบ้านได้เลย

ซีสต์ (Cyst)


ซีสต์ แทบจะถือว่าเป็นโรคท๊อปฮิตของสาวๆ เลย ยิ่งดาราสาวบ้านเมืองเรา เดี๋ยวคนนั้นก็เป็นเดี๋ยวคนนี้ก็เป็น ถึงจะดูไม่ร้ายแรงอะไร แต่มาลองทำความรู้จักกันหน่อยจะดีกว่า คำว่าซีสต์ (Cyst) แปลว่า ถุงน้ำ ซึ่งผู้หญิงทุกคนที่มีประจำเดือนจะต้องมีซีสต์ที่ว่านี้ มันคือถุงน้ำที่จะคอยสร้างฮอร์โมน หลังจากที่ไข่แต่ละใบที่ถูกเลือกในทุกๆ เดือนมีการตกไข่หรือเรียกว่าช่วงมีประจำเดือนนั่นเอง เมื่อประจำเดือนหมด ถุงน้ำหรือซีสต์นั้นก็จะยุบและสลายไปเอง ซึ่งซีสต์ที่เรียกว่าซีสต์ที่เป็นปกติ


ส่วนซีสต์ที่ไม่ปกติก็คือ ซีสต์ที่ต้องกำจัดออก เพราะมันจะไม่ยุบตามรอบประจำเดือนเหมือนซีสต์ปิติที่มีทุกเดือน ซีสต์ไม่ปกติเกิดขึ้นได้ทั้งที่ปากมดลูกและรังไข่ แต่เราจะพูดถึงเฉพาะซีสต์ที่เกิดขึ้นในรังไข่ เพราะซีสต์ที่เกิดที่มากมดลูกนั้น ถือเป็นซีสต์ที่ไม่สำคัญไม่เป็นมะเร็ง ซีสต์ที่ไม่ปกติที่รังไข่นั้นก็มีทั้งที่เป็นมะเร็งและไม่เป็นมะเร็งและมีซีสต์หลายประเภทมากๆ แต่ที่เป็นกันมากคือ เดอมอยซีสต์ และช็อคโกแลตซีสต์ เป็นซีสต์ขนาดเล็กที่ไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง ส่วนซีสที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง จะก้อนใหญ่มากๆ ในบางรายอาจใหญ่ได้เท่าคนท้อง 5 เดือน

ซีสต์ เชื่อกันว่าเกิดจากพฤติกรรมการกินการใช้ชีวิตหรือการมีเพศสัมพันธ์ แต่ความจริงแล้ว ซีสต์ไม่มีสาเหตุ ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดทั้งสิ้น ซีสต์นั้นเกิดขึ้นได้เองและป้องกันไม่ได้ด้วย และมีเปอร์เซ็นต์น้อยมากๆ ที่เกิดจากพันธุกรรม ซีสต์บางประเภทเท่านั้นที่จะเกิดจากพันธุกรรม

ส่วนใหญ่เราจะไม่ค่อยรู้ว่าเราเป็นซีสต์หรือไม่เป็น นอกจากจะบังเอิญตรวจเจอ แต่ก็มีบ้างที่มีอาการท้องอืด พุงป่อง แต่นี่คือกรณีที่ซีสต์มีขนาดใหญ่มากแล้ว และเป็นซีสที่อาจเป็นมะเร็ง เพราะจะเติบโตได้เร็วกว่าซีสต์ที่ไม่เป็นมะเร็ง ฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณผู้หญิงทุกคนจึงควรจะตรวจสุขภาพเสมอๆ เพื่อจะได้ตรวจเช็คด้วยว่ามีซีสต์หรือเปล่า และรีบรักษาได้เร็วที่สุด

วิธีการรักษาซีสต์ ก็เริ่มจากเมื่อเราตรวจเจอและแน่ใจว่าเป็นซีสต์ที่ไม่ปกติอยู่ ก็ต้องดูอีกทีว่าเป็นซีสประเภทไหนกันแน่ เป็นมะเร็งหรือไม่เป็นมะเร็ง ถ้าเป็นมะเร็ง ก็เป็นการรักษาในรูปแบบของมะเร็ง แต่ถ้าไม่เป็นมะเร็ง ก็จะรักษาโดยการผ่าตัดออก ซึ่งเป็นวิธีเดียวเท่านั้น บางคนจะเข้าใจว่ามีการกินยาเพื่อรักษาหรือสลายซีสต์ออก ซึ่งถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด มีวิธีรักษาอย่างเดียวเท่านั้นคือกำจัดมันออกไป เพียงแต่ การผ่าตัดนี้สามารถทำได้ 2 แบบคือ ผ่าแบบส่องกล้อง กับผ่าแบบเปิดหน้าท้อง ซึ่งก็แล้วแต่ความต้องการของคนไข้และความถนัดของแพทย์

โรคซึมเศร้า (Depression)


โรคซึมเศร้าอาจจะ เกิดในคนที่มีการสูญเสีย หรือโรคซึมเศร้าอาจจะเกิดในคนที่มีโรคประจำตัวหรือเกิดในคนปกติทั่วๆไป โรคซึมเศร้าจะทำให้การดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลงและเกิดความเจ็บปวดทั้งผู้ป่วย และผู้ดูแล บางครั้งอาจจะทำให้ครอบครัวเกิดการแตกแยกหรือครอบครัวต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า เลยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ทั้งที่ปัจจุบันมียาและวิธีการรักษาที่ได้ผลดี ฉะนั้นบทความนี้จะเป็นแนวทางในการวินิจฉัยให้กับบุคคลในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิด หากพบว่าคนใกล้ชิดมีอาการเหมือนกับโรคซึมเศร้าดังดังต่อไปนี้รีบแนะนำให้เขาไปพบจิตแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยโดยด่วน ถ้าหากไม่ใช่ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าใช่จะได้รีบทำการรักษาอย่างทันท่วงที

โรคซึมเศร้าคืออะไร
โรคซึมเศร้าเป็นการเจ็บป่วยทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจและด้านความคิด ซึ่งผลของโรคจะไปกระทบต่อชีวิตประจำวันเช่น การรับประทานอาหาร การหลับนอน ความรับรู้ตัวเอง ผู้ป่วยไม่สามารถประสานความคิด ความรู้สึกของตัวเพื่อแก้ปัญหา หากไม่ได้รับรักษาอาการอาจจะอยู่เป็นเดือน แล้วจะเริ่มมีอาการที่รุนแรงขึ้น

โรคซึมเศร้ามีกี่ชนิด
1. โรคซึมเศร้าแบบเมเจอร์ ดีเพรสชั่น (Major depression) ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าชนิดนี้จะมีความผิดปกติที่มีอารมณ์ซึมเศร้านานกว่า 2 สัปดาห์ ผู้ที่ป่วยจะมีอาการเศร้าสลดอย่างมากจนไม่มีความสนใจในกิจกรรมต่างๆที่จะช่วยทำให้กลับมามีความสุขสดชื่นเหมือนเดิม ดังนั้นควรเริ่มรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยไม่ให้โรคซึมเศร้าแบบนี้ มีความรุนแรงขึ้น อีกทั้งยังลดความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอีกด้วย
2. โรคซึมเศร้าแบบดิสทีเมีย (Dysthymia) ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าชนิดนี้จะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก แต่เป็นอย่าง ต่อเนื่องนานกว่า นั่นคือจะมีอาการอย่างน้อย 2 ปีแต่มักจะนานกว่า 5 ปี อาการไม่รุนแรงถึงขนาดทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากผู้ที่ป่วยจะมีอารมณ์ปกติสลับไปด้วย
3. โรคซึมเศร้าแบบไบโพลาร์ ดิสออร์เดอร์ (Bipolar disorder) ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ชนิดนี้บางรายจะมีอารมณ์เซ็ง ซึมเศร้า สลับกับอาการลิงโลด โดยเป็นอารมณ์ที่ต่างกันหรือ ต่างขั้วกัน โรคซึมเศร้าชนิดนี้จะมีผลต่อการ ตัดสินใจและมักก่อให้เกิดปัญหา เช่น การ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย หรือตัดสินใจผิดๆ และอาจมีความคิดฆ่าตัวตายในช่วงที่มีอาการซึมเศร้าได้

อาการโรคซึมเศร้า depression
1. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้แก่
- รู้สึกซึมเศร้า กังวล อยู่ตลอดเวลา
- หงุดหงิดฉุนเฉียว โกรธง่าย
- อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย
2. การเปลี่ยนแปลงทางความคิด
- รู้สึกสิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย
- รู้สึกผิด รู้สึกตัวเองไร้ค่า ไม่มีทางเยียวยา
- มีความคิดจะทำร้ายตัวเอง คิดถึงความตาย พยายามทำร้ายตัวเอง
3. การเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้หรือการทำงาน
- ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ความสนุก งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่เพิ่มความสนุกรวมทั้งกิจกรรมทางเพศ
- รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีพลังงาน การทำงานช้าลง การงานแย่ลง
- ไม่มีสมาธิ ความจำเสื่อม การตัดสินใจแย่ลง
4. การเปลี่ยนปลงทางพฤติกรรม
- นอนไม่หลับ ตื่นเร็ว หรือบางรายหลับมากเกินไป
- บางคนเบื่ออาหารทำให้น้ำหนักลด บางคนรับประทานอาหารมากทำให้น้ำหนักเพิ่ม
- มีอาการทางกายรักษาด้วยยาธรรมดาไม่หายเช่น อาการปวดศีรษะ แน่นท้อง ปวดเรื้อรัง
- ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นแย่ลง

อาการ Mania
- มีอาการร่าเริงเกินเหตุ
- หงุดหงิดง่าย
- นอนน้อยลง
- หลงผิดคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองใหญ่
- พูดมาก
- มีความคิดชอบแข่งขัน
- ความต้องการทางเพศเพิ่ม
- มีพลังงานมาก
- ตัดสินใจไม่ดี
- มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป

สาเหตุของโรคซึมเศร้า
1. พันธุ์กรรม พบว่าโรคซึมเศร้าชนิด bipolar disorder มักจะเป็นในครอบครัวและต้องมีสิ่งที่กระตุ้น เช่นความเครียด
2. มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองหรือสารเคมีในสมองการเปลี่ยนแปลงของสมดุลของสารเคมี ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง มีผลต่ออารมณ์ซึมเศร้าของคน (โดยเฉพาะสารสีโรโทนิน นอร์เอปิเนพริม และโดปามีน)
3. ผู้ที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
4. โรคทางกายก็สามารถทำให้เกิดโรคซึมเศร้า เช่นโรคหัวใจ อัมพาต ทำให้ผู้ป่วยมาสนใจดูแลตัวเองโรคจะหายช้า
5. มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในเลือด เช่นวัยทอง หรือหลังคลอดก็สามารถทำให้เกิดอาการซึมเศร้า
6. ความเครียดที่เกิดจากสาเหตุต่างเช่น การสูญเสีย การเงิน การงาน ปัญหาในครอบครัวก็สามารถเป็นเหตุให้เกิดโรงซึมเศร้า
7. ผู้ที่เก็บกดไม่สามารถแสดงอารมณ์ออมา เช่นดีใจ เสียใจหรืออารมณ์โกรธ
8. ผู้ที่ด้อยทักษะต้องพึ่งพาผู้อื่น

วิธีบำบัดและรักษาโรคซึมเศร้า
1. ระยะเฉียบพลัน จะใช้ยาบรรเทาอาการเศร้าจนรู้สึกดีขึ้น และทานยาต่อไปอีก 6-12 เดือน เพื่อป้องกันอาการกลับมาเป็นซ้ำอีก ดังนั้นแม้จะ รู้สึกสบายดีก็ยังต้องกินยาตามแพทย์สั่งอย่าง ต่อเนื่อง
2. เนื่องจากผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามักจะกลับมาป่วยซ้ำหรืออาจมีอาการกำเริบซ้ำ จึง ถือว่าโรคซึมเศร้าเป็นโรคเรื้อรังจำเป็นต้องได้รับยาระยะยาว

โรคซึมเศร้าในผู้หญิง
ผู้หญิงจะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชาย 2 เท่าเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเช่น การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ การแท้ง ภาวะหลังคลอด วัยทอง เป็นต้น นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดจากความเครียดที่ต้องรับผิดชอบทั้งในบ้านและงานนอกบ้าน การรักษาให้ญาติเข้าใจภาวะของผู้ป่วยและให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย

โรคซึมเศร้าในผู้ชาย
แม้ว่าโรคซึมเศร้าในผู้ชายจะพบน้อยกว่าผู้หญิงแต่อัตราการฆ่าตัวตายจะสูงกว่าผู้หญิง โรคซึมเศร้าในผู้ชายจะเกิดโรคทางกายพบว่าอัตราการเกิดโรคหัวใจจะสูงมาก ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะใช้ยาเสพติดและสุราเป็นตัวแก้ไข บางคนก็มุ่งทำงานหนัก ผู้ป่วยจะไม่มีความรู้สึกสิ้นหวังหรือท้อแท้แต่จะหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะวินิจฉัยโรคนี้ แม้ว่าจะรู้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าผู้ป่วยก็มักจะปฏิเสธการรักษา

โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าเป็นภาวะปกติของผู้สูงอายุ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาด้วยอาการทางกาย นอกจากนั้นอาการต่างๆอาจจะเกิดจากผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาโรค หากสามารถวิเคราะห์ว่าเป็นโรคซึมเศร้าจริงและให้การรักษาจะทำให้ผู้สูงอายุมีความสุข

โรคซึมเศร้าในเด็ก
เด็กๆก็เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกับผู้ใหญ่โดยจะมีอาการ แกล้งป่าย ไม่ไปโรงเรียน ติดพ่อแม่ กังวลว่าพ่อแม่จะเสียชีวิต ส่วนเด็กโตจะนิ่งไม่พูด มีปัญหาที่โรงเรียน มองโลกในแง่ร้าย แต่เนื่องจากพฤติกรรมของเด็กมีความผันผวนดังนั้นการวินิจฉัยจึงยาก หากพ่อแม่หรือคุณครูพบว่าพฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไป กุมารแพทย์จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาการรักษา

ประโยชน์และโทษของการกินยาร่วมกัน


สำหรับผู้ที่ไม่ความรู้เรื่องการกินยาหรือว่าอาหารเสริม มักทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกันการกินยาร่วมกันหลายขนาน เช่นคนที่เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย เลยคิดว่าตนเองต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มากเพื่อช่วยเพิ่มเลือด ซึ่งถือว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ฉะนั้นเรามาดูกันว่ายาชนิดไหนที่สามารถกินร่วมกันได้แล้วก่อให้เกิดประโยชน์กับคนกิน และยาชนิดไหนที่กินร่วมกันไปแล้วก่อให้เกิดโทษ เพื่อที่จะได้ไม่เอาชีวิตอันมีค่าของเราไปเสี่ยงกับการกินยาแบบผิดๆ

ยาและอาหารเสริมที่กินร่วมกันแล้วก่อให้เกิดประโยชน์
- วิตามินซี และ คอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊ง ไม่เหี่ยว ไม่หย่อนยาน
- ธาตุเหล็ก และ วิตามินซี การจะกินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกินคู่กัน เช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูง เช่นใบตำลึงหรือผักใบเขียวอื่นๆ
- แคลเซียม และ แมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไป ได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดี และ วิตามินเค ด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ
- วิตามินเอ วิตามินซี และ วิตามินอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียว ส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ
- น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอ + อีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่าดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้า อยากบำรุงสมอง ต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่น ข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มี อีพีเอ สูงด้วย

ยาและอาหารเสริมที่กินร่วมกันแล้วก่อให้เกิดโทษ
- น้ำมันปลา และ แอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์ เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่
- วิตามินอี และ อีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหา พร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่ง ถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดอันตรายกับหัวใจแทน
- แคลเซียม และ แคลเซียมสด : ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้
- กาแฟ และ แคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมนอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย
- ธาตุเหล็ก และ เลือดจางธาลัสซีเมีย : เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไป หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเอง


ไข้หวัดใหญ่ 2009 (H1N1)


เป็นโรคที่แพร่ติดต่อระหว่างคนสู่คน เริ่มพบที่ประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้แพร่ออกไปยังอีกหลายประเทศ สาเหตุของเชื้อ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช1เอ็น1 (A/H1N1) ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตัวใหม่ ที่ไม่เคยพบมาก่อน เกิดจากการผสมสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของคน สุกร และนก


แพร่เชื้อโดย
เชื้อไวรัสที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ติดต่อไปยังคนอื่น ๆ โดยการไอจามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไป หากอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร บางรายได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ตา ปาก ผู้ป่วยอาจเริ่มแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนป่วย ช่วง 3 วันแรกจะแพร่เชื้อได้มากสุด และระยะแพร่เชื้อมักไม่เกิน 7 วัน

อาการไข้หวัด 2009
ในคนนั้นมีอาการคล้ายกันกับอาการของคนที่เป็นหวัดปกติ และมีอาการต่อไปนี้คือ มีไข้ ท้องเสีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศรีษะ หนาว และ ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนล้า ร่วมด้วย ในบางคนมีอาการท้องเสียร่วมกับอาเจียน และในอดีตมีรายงานว่าผู้ป่วยหลายคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นเป็นปอดบวม และ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด เช่นเดียวกันกับหวัด ที่ไข้หวัด 2009อาจจะแย่ลงจนต้องมีสภาพการเรื้อรัง

วิธีรักษา
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที ซึ่งแพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส คือ ยาโอลเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) เป็นยาชนิดกิน หากผู้ป่วยได้รับยาภายใน 2 วันหลังเริ่มป่วย จะให้ผลการรักษาดี ในส่วนผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย เช่น มีไข้ต่ำ ๆ และยังรับประทานอาหารได้ อาจไปพบแพทย์ที่คลินิก หรือขอรับยาและคำแนะนำจากเภสัชกรใกล้บ้าน และดูแลรักษากันเองที่บ้าน โดย
- รับประทานยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาละลายเสมหะ เป็นต้น และเช็ดตัวลดไข้เป็นระยะด้วยน้ำสะอาดไม่เย็น
- ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มาก ๆ งดดื่มน้ำเย็น
- พยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้มากพอเพียง เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก ผลไม้ เป็นต้น หากรับประทานอาหารได้น้อย อาจต้องได้รับวิตามินเสริม
- นอนหลับพักผ่อนมาก ๆ ในห้องที่อากาศถ่ายเทดี
- ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งต้องรับประทานยาจนหมดตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อดื้อยา

วิธีป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
- หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรลาหยุดงาน หยุดเรียน เป็นเวลา 3 - 7 วัน ซึ่งจะช่วยลดการแพร่ระบาดได้มาก
- พยายามหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดคลุกคลีกับคนอื่น ๆ
- สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่กับผู้อื่น หรือใช้ทิชชูปิดจมูกปากทุกครั้งที่ไอจาม ทิ้งทิชชูลงในถังขยะที่มีฝาปิด แล้วล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่
ใส่ใจ ห่วงใยคนรอบข้าง
สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ

วิธีป้องกันไม่ให้ตนเองได้รับเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
- หากต้องดูแลผู้ป่วย ควรสวมหน้ากากอนามัย เมื่อดูแลเสร็จ ควรรีบล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดทันที
- ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
- ใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
- หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังไอ จาม
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้งไข่ นม ผัก และผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดและนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงบุหรี่และสุรา

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพเล็บ (Nail Care Tips)


การดูแลเล็บนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องฉาบฉวยเพียงเพื่อความสวยงาม แต่การรู้จักทะนุถนอมเล็บให้อยู่ในสภาพดี พร้อมกับเข้าใจในความผิดปกติของเล็บที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยทำให้คุณมีสุขภาพเล็บและรวมไปถึงสุขภาพกายที่ดีขึ้นได้ด้วย ถ้าไม่เชื่อคุณลองเอา 8 วิธีการดูแลรักษาเล็บนี้ไปใช้ดูรับรองคุณจะเป็นคนที่มีเล็บสวยและสุขภาพเล็บดีด้วย


1. อย่าล้างมือบ่อยเกินไป หลังล้างมือแล้ว เช็ดให้แห้ง เป่าลมร้อนช่วยด้วยจะยิ่งทำให้เล็บแห้งได้สนิท ทาโลชั่นที่บำรุงมือและเล็บโดยเฉพาะ (Hand and nail) อย่างสม่ำเสมอ
2. เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเล็บ ก็คือหลังอาบน้ำ หรือหลังล้างจาน
เพราะเล็บจะสะอาดและมีความอ่อนนุ่ม ทำให้ง่ายต่อการตัดแต่ง แต่ถ้าหากไม่รอหลังอาบน้ำให้แช่เล็บในน้ำอุ่น สัก 5 นาที ก่อนตัดเล็บ
3. ไม่ควรใช้น้ำยาล้างยาทาเล็บเกินกว่าอาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากจะทำให้เล็บแห้ง และแตกง่าย
sealer หรือ top coat ยาเคลือบเงาเล็บเป็นน้ำยาที่ใช้ทาทับยาทาเล็บอีกทีหนึ่ง ลดการสัมผัสกับสีทาเล็บโดยตรงแล้วยังช่วยให้สีทาเล็บติดทนนานยิ่งขึ้น ซึ่งคุณสามารถ ใช้ยาทาเล็บแบบสีใส ชนิดใดก็ได้มาทาเพื่อการนี้ ซึ่งจะช่วยลดการกร่อน และแตกของเล็บได้ คุณสามารถใช้ยาทาเล็บใสนี้ได้ทุกวัน เพื่อช่วยปกป้องและคงความชุ่มชื้นให้เล็บ
4. ควรหลีกเลี่ยงการทำเล็บบ่อยๆ ที่ร้านเสริมสวย เพราะช่างมักจะแคะเล็ม ตัดจมูกเล็บให้เสียหาย และการขูดผิวเล็บเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวทำให้เล็บเงางามขึ้น ผิวเล็บเรียบ และดูมีสุขภาพดีขึ้น โดยใช้อุปกรณ์ขูดลอกหน้าเล็บ ดันจากปลายเล็บเข้าหาโคนเล็บ หลังจากนั้น ใช้แผ่นขัดเล็บ ซึ่งคล้ายกระดาษทราย ขัดหน้าเล็บเบา เพื่อให้ผิวหน้าเล็บเรียบสม่ำเสมอ แล้วใช้แผ่นขัดทำความสะอาดเล็บ ถูเบาๆ เพื่อให้ฝุ่นและเศษเล็บที่มองไม่เห็นหลุดออกไป จากนั้นใช้แผ่นขัดเงาซึ่งมีเจลาตินเคลือบอยู่ ขัดถูบนหน้าเล็บเบาๆ ก็จะได้เล็บที่เงางามดูมีสุขภาพดี การขัดเงาเล็บแต่ละครั้งจะอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์
5. ตัดเล็บให้มีขนาดสั้นพอประมาณ เพราะการไว้เล็บยาวเกินไปอาจทำให้เล็บเกิดฉีกขาดได้ง่ายควรตัดให้มีความโค้งมนไปตามนิ้วมือ ส่วนเล็บเท้านั้น พยายามตัดให้เป็นเส้นตรงมากที่สุดเพื่อลดการสะสมของความสกปรกตามซอกเล็บและโอกาสเกิดเล็บขบ ไม่ควรตัดสั้นจนชิดเนื้อมากเกินไป และไม่ควรใช้วัสดุใดๆ งัดแงะขอบเล็บ จมูกเล็บ เพราะอาจเกิดบาดแผลและการอักเสบได้ และอีกสิ่งที่มาควบคู่กับการตัดเล็บก็คือการตะไบ การตะไบเล็บให้สวย ถ้าหากใช้ตะไบเล็บที่ทำจากเหล็ก ควรตะไบเล็บไปในทิศทางเดียว ไม่ควรถูกลับไปกลับมา เพราะจะทำให้เล็บเป็นเสี้ยนคมหรือฉีก แต่ถ้าใช้ตะไบเล็บที่ทำจากเซรามิคสามารถตะไบสวนทางกันได้ นอกจากนี้ การตะไบเล็บควรตะไบจากขอบเล็บเข้าหาปลายเล็บเสมอ
6. สำหรับเล็บที่แต่งด้วยยาทาเล็บเป็นประจำ จะทำให้เล็บมีสีเหลือง ดังนั้นลองแช่นิ้วมือ และเท้าใน น้ำมะขามที่ผสมน้ำทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก หรือจะใช้มะนาวฝานมาถูเล็บบ่อยๆ ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน
7. ควรมีเวลาให้เล็บได้ว่างเว้นจากการทาสี เพราะนอกจากเล็บจะได้พักหรือฟื้นสภาพที่เสียไปแล้ว ยังเป็นโอกาสให้เราได้สังเกตความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเล็บอีกด้วย การต่อเล็บ หรือการตกแต่งประดับเล็บนั้น ควรทำโดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ และต้องใช้อุปกรณ์ที่สะอาด และมีคุณภาพ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการแพ้หรือการสะสมของเชื้อโรค หากชื่นชอบการต่อเล็บและตกแต่งเล็บด้วยเครื่องประดับ ต้องหมั่นสังเกตดูว่า เล็บเกิดมีจุดดำ หรือเปลี่ยนสี หรือผิดรูปหรือเปล่า
8. การล้างทำความสะอาดเล็บ ควรล้างมือและเล็บด้วยน้ำสบู่อุ่นๆ ใช้แปรงนุ่มๆ ขัดตามซอกเล็บเบาๆ และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ชโลมด้วยครีมบำรุง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับมือและเล็บ บางครั้งยาทาเล็บ คราบสกปรก หรือแม้แต่เชื้อแบคทีเรีย อาจฝังอยู่บนเล็บเป็นรอยเลอะๆ ได้โดยใช้ สำลีชุบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (น้ำยาล้างแผล) บีบลงตามซอกเล็บทิ้งไว้สักครู่ สิ่งสกปรกจะลอยออกมาอย่างง่ายดาย แล้วใช้ไม่พันสำลีเล็กๆ เช็ดออก คุณก็ไม่ต้องแคะซอกเล็บให้เจ็บนิ้ว



ปวดหลัง(Back Pain)

อาการปวดหลังมักจะพบได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวเป็นต้นไป เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เอง แต่อาจเป็นๆ หาย ๆ เรื้อรังได้ สาเหตุมักเกิดจากการทำงานก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก นั่ง ยืน นอน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง ใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไป ทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลังส่วนล่าง ซึ่งจะมีอาการเกร็งตัว ทำให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง คนที่อ้วน หรือหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดหลังได้เช่นกัน อาการที่พบคือ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง (ตรงบริเวณกระเบนเหน็บ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเฉียบพลันหรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า การไอ จาม หรือบิดตัว เอี้ยวตัวอาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแข็งแรงดี และไม่มี
อาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย


วิธีการรักษาอาการปวดหลัง
1. สังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร แล้วแก้ไขเสีย เช่น ถ้าปวดหลังตอนตื่นนอน ก็อาจเกิดจากที่
นอนนุ่มไป หรือนอนเตียงสปริง ก็แก้ไขโดยนอนบนที่แข็งและเรียบแทนถ้าปวดหลังตอนเย็น
ก็มักจะเกิดจากการนั่งตัวงอตัวเอียง หรือใส่รองเท้าส้นสูง ก็พยายามนั่งให้ถูกท่า หรือเปลี่ยน
เป็นรองเท้าธรรมดาแทน ถ้าอ้วนไป ควรพยายามลดน้ำหนัก
2. ถ้ามีอาการปวดมาก ให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก
สักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่อง หรือน้ำมันระกำทานวด หรือใช้น้ำอุ่นประคบก็ได้
ถ้าไม่หาย ก็ให้ยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน, พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด จะกินควบกับ
ไดอะซีแพมขนาด 2 มก.ด้วยก็ได้ ถ้ายังไม่หาย อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น เมโทคาร์บา มอล ,
คาริโซม่า ครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำ ได้ทุก 6-8 ชั่วโมง ผู้ป่วยควรนอนที่ นอนแข็ง และหมั่นฝึก กายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง
3. ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือมีอาการชาที่ขา หรือขาไม่มีแรง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำ ผู้ป่วยไป
โรงพยาบาล อาจ ต้องเอกซเรย์หลัง หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตาม สาเหตุที่พบ

ข้อเตือนอีกนิดนึงสำหรับอาการปวดหลังแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในหมู่ชาวไร่ชาวนา กรรมกรที่ทำงานหนัก และในหมู่คนที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่า เป็นอาการของโรคไต โรคกษัย และซื้อ ยาชุด ยาแก้กษัย หรือยาแก้โรคไต กินอย่างผิด ๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้น จึงแนะนำให้เข้าใจถึง สาเหตุของอาการปวดหลัง และควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น
โดยทั่วไป การปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อมักจะปวดตรงกลางหลัง ส่วนโรคไตมักจะปวดที่สีข้าง
และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น หรือปัสสาวะขุ่นหรือแดงร่วมด้วย ถ้าไม่แน่ใจก่อนจะหายามากินเอง ควรจะปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะดีกว่า

สำหรับวิธีการป้องกันโรคนี้สามารถป้องกันได้โดยระวังรักษาท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ ให้ถูกต้อง หมั่นออกกำลัง กล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ และนอนบนที่นอนแข็ง

ผมร่วง (Hair Loss)

โดย 2ใน3 ของคนที่เคยประสบปัญหาผมร่วงมาแล้ว และในจำนวนนี้เป็นผมร่วงถาวรเสียด้วยซิ แต่สาเหตุผมร่วงบางอย่างสามารถแก้ไขได้ โดยทั่วไปคนเราจะมีเส้นผมอยู่ประมาณ 100,000 เส้น และเส้นผมจะงอกอย่างสม่ำเสมอทุกๆวัน ในแต่ละวันจะมีผมร่วงได้วันละ 50 – 100 เส้น ถือว่าปกติ เส้นผมจะงอกยาวประมาณ 1/2 นิ้ว ต่อเดือนโดยผมแต่ละเส้นจะอยู่บนศีรษะนาน 2-6 ปี ทีเดียว และระหว่างนี้ผมก็จะงอกยาวเรื่อยๆ เมื่อเส้นผมแก่ตัวขึ้นก็จะหยุดงอก แต่ก็จะยังคงอยู่บนศีรษะ เพียงแต่จะไม่งอกอีกเท่านั้น และสุดท้ายก็จะร่วงไปแล้วเส้นผมใหม่ก็จะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายใน 6 เดือน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถหยุดยั้งกระบวนการทั้งหมดของเส้นผมนี้

1. อายุและฮอร์โมน ส่วนใหญ่ผมจะร่วงเมื่ออายุมากขึ้นโดยอายุ, ฮอร์โมนและพันธุกรรม จะเป็นสาเหตุให้ผมร่วงได้มากกว่า ปัจจัยอื่นๆ และผู้ชายจะพบปัญหานี้มากกว่าผู้หญิงซึ่งผมร่วงนี้จะเกิดขึ้นเมื่ออายุ 25-30 ปี สำหรับผู้หญิงจะผมร่วง โดยเริ่มจากการที่ผมเส้นเล็กลงและสั้นเมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมาสาเหตุผมร่วงชนิดนี้เป็นสาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้านนั่นเอง
2. ยา ยางบางชนิดโดยเฉพาะที่ใช้รักษามะเร็งทำให้ผมร่วงได้ นอกจากยารักษามะเร็งแล้วยารักษาความดันโลหิต, ยาต้านอาการซึมเศร้า, ยาคุม และวิตามินเอขนาดสูง ก็ทำให้ผมร่วงได้ แต่เป็นการร่วงชั่วคราวเท่านั้น
3. อาหารโปรตีนน้อย รวมทั้งธาตุเหล็กน้อย จะทำให้ผมร่วงได้
4. ความเครียด หรือการเจ็บป่วย จะทำให้ผมร่วงได้ 1-3 เดือนเลยทีเดียว
5. การคลอดลูก ผู้หญิงหลังคลอดจะมีผมร่วงได้ภายใน 2-3 เดือนหลังคลอด
6. เป็นโรคไทรอยด์ ก็ทำให้ผมร่วงได้เชื่อราของหนังศีรษะ ซึ่งต้องรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง
สำหรับการรักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดผมร่วง ยกเว้นสาเหตุเดียวที่มักจะเป็นผมร่วงถาวร คือสาเหตุจากอายุและพันธุกรรม ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่อาจจะเลือกการใส่วิกผม, รับประทานยากระตุ้น, และผ่าตัดปลูกถ่ายผม


โรคกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer)


โรคกระเพาะอาหาร เป็นโรคที่หลายคนที่เคยเป็นแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ทรมาน เมื่อหิวก็ปวด เมื่ออิ่มก็ปวด ช่างน่ารำคาญใจเหลือเกิน บางครั้งก็จะรู้สึกปวดเวลาหิวหรือท้องว่างเมื่อกินอาหารหรือนม ก็จะหายปวด บางรายจะปวดหลังจากกินอาหาร หรือปวดกลางดึกก็ได้ อาการที่จะพบ ก็คือ จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในท้อง ปวดแสบปวดร้อนในท้อง คลื่นไส้อาเจียน


สาเหตุหลักของการเกิดโรคกระเพาะอาหาร

1. สาเหตุที่กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้น เกิดขึ้นเนื่องจาก
- กระตุ้นของปลายประสาท เกิดจากความเครียด วิตกกังวลและอารมณ์
- การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง
- การสูบบุหรี่
- การดื่มกาแฟ
- การทานอาหารไม่เป็นเวลา

2. มีการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดจาก
- การกินยาแก้ปวด ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆ
- การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู
- การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบี้ย ยาดอง



โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)

เป็นภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่ง โดยจะตรวจพบความดันโลหิต อยู่ในระดับที่สูงกว่าปรกติเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ความดันโลหิตที่วัดค่าบนได้มากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และ การที่ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหัวใจโรคไตวาย เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง อัมพาต ฯลฯ


บุคคลที่มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง

1. อ้วน และมีไขมันในเลือดสูง
2. มีญาติพี่น้องเป็นโรคความดันโลหิตสูง
3. บุคคลที่สูบบุหรี่จัด หรือว่าดื่มเหล้าเป็นประจำ
4. เป็นโรคไต หรือโรคเบาหวาน
5. มีความเครียดเป็นประจำ

ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต

ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ดังนี้
1. อายุ ส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นกฎตายตัวว่าอายุมากขึ้นความดันโลหิตจะสูงขึ้นเสมอไป อาจวัดค่าได้เท่าเดิมก็ได้
2. เวลา ความดันโลหิตจะขึ้นๆ ลงๆ ไม่เท่ากันตลอดวัน จากการตรวจวัดความดันโลหิตจะแตกต่างกัน ตอนเช้า ช่วงบ่ายและขณะนอนหลับ
3. จิตใจและอารมณ์ พบว่ามีผลต่อความดันโลหิตได้มาก ขณะที่ได้รับความเครียด ขณะที่พักผ่อนความดันโลหิตก็จะสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ แต่เมื่อรู้สึกเจ็บปวดก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้เช่นกัน
4. เพศ พบว่าเพศชายจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้บ่อยกว่าเพศหญิง
5. พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ผู้ที่มีบิดาและมารดา เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติในครอบครัว
6. เชื้อชาติ พบว่าชาวแอฟริกันอเมริกันมีความดันโลหิตสูงมากกว่าชาวอเมริกันผิวขาว
7. ปริมาณเกลือ ที่รับประทาน ผู้ที่รับประทานเกลือมากจะมีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่รับประทานเกลือน้อย


ไมเกรน Migraine

คือ โรคปวดศีรษะชนิดหนึ่ง มักมีอาการปวดข้างเดียว แถวขมับ หรืออาจจะปวดบริเวณเบ้าตา อาการปวดไมเกรนอาจจะปวด 2-4 ชั่วโมง หรืออาจจะปวดได้นานถึง 2-3 วัน หรืออาจจะมีอาการปวดศีรษะจะรุนแรงมากขึ้นอีก เมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย และในขณะที่มีอาการปวดมักจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
อาการปวดไมเกรนมักมีอาการนำมาก่อนที่จะเกิดอาการปวด เรียกว่าออร่า คืออาจจะเป็นแสงแวบเข้าตา แสงจ้า ตาพร่ามัว มีอาการชาที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย ซึ่งจะเกิดเป็นช่วงสั้นๆ
ไมเกรนพบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มักจะพบในช่วงอายุ 10-40 ปี แต่พบในเด็กอายุ 7-8 ขวบได้ โดยพบอัตราการเกิดไมเกรนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงมีอัตราการเกิดร้อยละ 18 ผู้ชายร้อยละ 6 และในเด็กร้อยละ 4 แต่พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ อาการจะน้อยลง


สารอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรน

- สารไทรามีน (tyramine) พบเป็นองค์ประกอบธรรมชาติในอาหาร ได้แก่ เนยแข็ง (cheese) เครื่องในสัตว์ ปลาเฮอริ่ง ถั่วลิสง เนยถั่ว ช็อคโกแลต กะหล่ำปลีดอง ไส้กรอก กล้วยสุกงอม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเบียร์ ผู้ที่มีความไวต่อสารไทรามีน เมื่อรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง
- สารเฟนนิลเอททิลลามีน (Phenylethylamine หรือย่อว่า PEA) สารชนิดนี้ทำให้ปวดหัวได้สำหรับบางคน พบในช็อกโกแลตหรือโกโก้ แต่งานวิจัยในระยะหลังไม่อาจสรุปได้ว่าช็อกโกแลตจะกระตุ้นอาการไมเกรน
- สารแทนนิน แทนนินเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร เช่น น้ำแอปเปิ้ล ชา กาแฟ ช็อคโกแลต ไวน์แดง เป็นต้น ถึงกระนั้นข้อมูลที่พบก็ยังไม่สามารถยืนยันเกี่ยวกับฤทธิ์การกระตุ้นให้เกิดไมเกรนเมื่อรับประทานสารแทนนินหรือสารไทรามีนเข้าไป
- สารเจือปนอาหาร (Food additives) สารปรุงแต่งรสหรือวัตถุกันเสียบางชนิด เช่น น้ำตาลเทียม ผงชูรส และดินประสิว ซึ่งใช้ใส่ในไส้กรอก แฮม เบคอน หรืออาหารรมควัน อาจกระตุ้นอาการปวดหัวได้ ผงชูรสอาจทำให้มีอาการปวดหัว ผู้ที่ร่างกายมีความไวต่อผงชูรสควรพยายามหลีกเลี่ยง
- สารคาเฟอีน คาเฟอีนเพียงเล็กน้อยอาจช่วยให้หายปวดหัวได้ในบางคน แต่ถ้าดื่มมากๆกลับทำให้ปวดหัวได้ เพราะหลังจากดื่มเข้าไปตอนแรกคาเฟอีนจะทำให้เส้นเลือดหดตัวก็จะทำให้คลายอาการปวดหัว แต่เมื่อดื่มมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้
- แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด เช่น ไวน์แดง นอกจากจะมีส่วนผสมของสารไทรามีนแล้วยังมีสารฟีนอล (phenols) และสารซัลไฟต์ (sulfites) ซึ่งใช้ในการหมักไวน์เป็นชนวนของการเกิดไมเกรน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ควรเมิน ได้แก่ ไวน์แดง แชมเปญ เวอร์มุท และเบียร์

การฝึกหายใจด้วยหน้าท้อง

ในเวลาที่รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง อาจจะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ การเติมออกซิเจนให้เต็มปอด ช่วยทำให้อัตราการหายใจช้าลงจนเป็นปกติ จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและลดการตึงเครียดลง มาดูวิธีการที่จะทำให้คุณผ่อนคลายหายจากอาการนี้กันดีกว่า


- คุณสามารถทำวิธีให้ได้ในขณะที่ยืนอยู่ แต่คุณจะรู้สึกสบายมากขึ้นถ้าได้นอนราบกับพื้น แล้วงอเข่า ฝ่าเท้าวางกับพื้น หายใจตามปกติ 1-2 นาที
- ถูมือให้อุ่น วางมือทับกันที่หน้าท้อง โดยให้ฝ่ามือด้านล่างอยู่ตรงสะดือ คุณจะสังเกตการเคลื่อนไหวของหน้าท้อง ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องเกร็งตัว ให้ถูมือให้อุ่นอีกครั้ง แล้ววางตำแหน่งเดิม
- ตั้งสมาธิดูการหายใจของตัวเอง ปล่อยตามธรรมชาติอย่าฝืน กดมือลงบนหน้าท้องตอนหายใจออก แต่หน้าอกยังอยู่ในระดับเดิม จากนั้นหายใจเข้าเพื่อไล่ความเครียด ทำไปเรื่อยๆ จะสังเกตได้ว่าท้องคุณสามารถหายใจเข้าได้ยาวขึ้น
- เมื่อคุณพร้อมจะหยุด เปิดใจรับถึงความอบอุ่น ความสบายและพลัง รอให้ความรู้สึกเหล่านี้แผ่ซ่านเข้าทุกเซลล์จนรู้สึกไปถึงกระดูกสันหลัง
- ทำซ้ำตามทุกขั้นตอนประมาณ 3-10 ครั้ง หาเวลาสำหรับการหายใจแบบนี้ให้บ่อยๆ และทำอย่างสม่ำเสมอ คุณจะได้ไม่เครียด

วิธีดูแลสุขภาพเท้าแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ใครๆก็อยากมีเท้าคู่สวยด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราขาดการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพเท้าของตัวเอง แล้วเราจะมีเท้าคู่สวยอย่างคนอื่นเค้าได้ยังไง หลายๆ คนละเลยกับการที่จะดูแลเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าใคร หรือแม้แต่ตัวเราเองยังไม่ชอบเลยถ้าเกิดว่ามีใครถอดรองเท้าออกมาแล้วมีกลิ่นเหม็น ซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นสังคมรังเกียจ ถึงแม้จะหน้าตาดี แต่งตัวสวย ปะพรมด้วยน้ำหอมกลิ่นเริ่ดหรูยังไง ก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ถ้าไม่อยากให้ตัวเราเองเป็นอย่างนั้นละก้อ รีบใส่ใจดูแลสุขภาพเท้ากันตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ


1. ล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ ประมาณ 10 นาที เวลาอาบน้ำทุกๆ วัน ซึ่งจะทำให้ผิวหนังที่เท้านุ่มแต่อย่าขัดแรง ถู แรงๆ หรือแช่ในน้ำเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้ง

2. เช็ดเท้าด้วยผ้าสะอาดให้แห้งสนิททุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าต้องให้แห้งจริงๆ

3. สำหรับผู้ที่มีกลิ่นเท้า หลังล้างเท้าสะอาดและเช็ดให้แห้งแล้วควรจะโรยแป้งทาตัวให้ทั่วเท้าแลซอกนิ้วเท้า รวมถึงอย่าใส่รองเท้าคับเกินไป ควรเลือกรองเท้าที่ใส่สบายและระบายอากาศได้ ถุงเท้าควรเป็นแบบผ้าฝ้าย เพราะจะระบายอากาศได้ดีกว่าถุงเท้าไนล่อน

4. ถ้าผิวแห้งควรทาวครีมชนิดที่ไม่มีน้ำหอมฉุนเพื่อความชุ่มชื้น โดยทาบางๆ ให้ทั่วทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า ห้ามทาครีมบริเวณซอกนิ้ว
เท้าเพราะอาเกิดการหมักหมมของเชื้อราได้

5. ถ้าเล็บยาวต้องตัดเล็บเท้าอย่างถูกวิธี โดยตัดตรงตามแนวขอบเล็บเท่านั้น ไม่ตัดเล็บเซาะเข้าไปด้านข้างหรือจมูกเล็บ และไม่ควรตัดเล็บสั้นเกินไป

6. ใส่รองเท้าให้เหมาะกับโรค ควรใส่รองเท้าที่เหมาะกับโรค ควรใส่รองเท้าที่เหมาะสมและถูกสุขลักษณะ เช่น ผู้ป่วยเบาหวานควรใส่รองเท้าที่ทำจากวัสดุที่มีลักษณะนิ่มและมีแผ่นรองรับแรงกระแทกที่ฝ่าเท้าไม่ควรใส่รองเท้าแตะชนิดที่มีสายรัดง่ามนิ้วเท้า

7. หมั่นตรวจเท้าด้วยตนเองเป็นประจำ สังเกตสีผิว กลิ่นเท้า อุณหภูมิของเท้า และอาการผิดปกติอื่นๆ เช่นปวดเท้า มีอาการชา บวม มีเม็ดพองหรือคัน เป็นต้น โดยตรวจให้ทั่วทั้งฝ่าเท้า ส้นเท้า ซอกนิ้วเท้าและเล็บเท้า หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์

เมื่อคุณหมั่นดูแลเท้าด้วยวิธีง่ายๆ แบบนี้เป็นประจำรับรองว่าคุณจะเป็นคนที่มีสุขภาพเท้าดีและมีเท้าคู่สวยที่จะอยู่คู่คุณตลอดไป


การเดินเพื่อสุขภาพ

เดินเป็นการออกกำลังกายที่มีประโยชน์มากที่สุด มีคำกล่าวที่ว่า เดิน 1 นาที ช่วยยืดอายุออกไป 12 นาที คุณคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เด็กเล็กเองก็จะสามารถสร้างภูมิต้านทานในตนเองได้ เพราะ
การเดินต่อเนื่องกัน 30 -40 นาทีถือได้ว่าวิเศษสุดและเป็นการบาดเจ็บน้อยที่สุดและหากเดินต่อเนื่องกัน 20 นาทีขึ้นไปจะเป็นการดีส่งผลให้ร่างกายกล้ามเนื้อพัฒนาขึ้นจิตใจก็สบาย
การออกกำลังกายด้วยวิธีเดินควรทำแบบเดินเร็วกว่าปกตินิดหนึ่ง แต่ไม่ต้องถึงกลับวิ่ง ข้อดี คือมีเวลาชมโน่นชมนี่ สร้างความสบายใจ

การเดินออกกำลังกายเหมาะกันคนทุกเพศทุกวัย คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เป็นโรคเบาหวาน ความดัน ควรออกกำลังกายด้วยการเดิน คนที่เป็นโรคเบาหวาน มีน้ำตาลในร่างกายมากกกว่าคนธรรมดาเนื่องจากเซลล์ไม่นำไปใช้ได้ดีเมื่อไม่ถูกใช้ก็จะเหลือน้ำตาลในกระแสเลือด การเดินจะทำให้เซลล์ได้รับฮอร์โมนต่างๆสมบูรณ์ขึ้น น้ำตาลในเลือดถูกใช้มากขึ้น ปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำลง นักวิทยาศาสตร์การกีฬาจะแนะนำคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานให้เดินออกกำลังกายจะทำให้ลดน้ำตาลได้มากขึ้นไม่ควรวิ่งจ๊อกกิ้ง เรื่องของพฤติกรรมบริโภค ควรปรับตัวช่วงเช้าควรทานอาหารครบ 5 หมู่ เนื่องจากร่างกายพักผ่อนมา 10 ชั่วโมง การก้าวเดินเร็ว ควรก้าวยาวกว่าปกติ ไม่ให้ตึงน่อง การก้าวยาว ๆ ทำให้กล้ามเนื้อด้านหลังบาดเจ็บได้ง่าย การเดินในที่ที่ไม่เรียบก็จะบาดเจ็บได้ง่าย เช่นปกติวิ่ง 20-30 นาที หากเปลี่ยนมาเป็นการเดิน ควรเพิ่มความนานกว่า 10-15 นาทีร่างกายก็จะเผาผลาญพลังงานได้เท่ากับการวิ่ง การเกร็งกล้ามเนื้อมากๆจะทำให้จิตใจเครียดควรผ่อนคลายบ้าง ควรเดินไปเรื่อยๆให้ต่อเนื่อง ไม่ควรหยุด
เมื่อเราทราบประโยชน์ที่พึงได้จากการเดินกันแล้ว ก็ถึงเวลามาเริ่มต้นกันเสียที วิธีการนั้นไม่ยาก แค่เริ่มเดินเสียแต่วันนี้ อย่าอิดออดรอเวลา รอฟ้ารอฝน อาจจะเริ่มจากระยะทางหรือเวลาสั้นๆ แค่ 5-10 นาที พอแค่มีเหงื่อ แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยเป็นวันละสักครึ่งชั่วโมง ทำสักอาทิตย์ละ 3-4 วัน หรือถ้าใครไม่ค่อยมีเวลา ลองใช้วิธีนี้ ลองนึกดูสิว่าในแต่ละวันมีกิจกรรมอะไรบ้างที่คุณสามารถเปลี่ยนมาใช้การเดินแทนได้ เช่น ปกติเวลาจะออกไปซื้อของใกล้ๆ กับที่พักก็จะใช้รถในการเดินทาง ก็เปลี่ยนมาเป็นเดินไปเดินกลับแทน หรือถ้าใครทำงานบนตึกชั้นที่ไม่สูงมาก สักชั้น 2-3 ก็ลองเลือกเดินขึ้นลงทางบันได แทนที่จะใช้ลิฟท์ และในระหว่างทำงานก็หมั่นลุกขึ้นเดินเหินเสียบ้าง อย่าเอาแต่ใช้คนอื่นให้ทำอะไรต่ออะไรให้ (แม้ว่าคุณจะเป็นเจ้านายเขาก็ตาม )

อาหารบำรุงสายตา

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จะต้องเผชิญกับปัญหาสายตาทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะสายตาสั้น สายตายาว หรือเป็นต้อหินต้อกระจก สาระพัด ซึ่งก็ถือว่าเป็นอุปสรรคสำหรับการใช้ชีวิตอยู่เหมือนกันถึงแม้มันจะไม่มากนัก แต่ทุกคนถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากมีปัญหาเกี่ยวกับสายตากันแน่นอน แต่ถ้าเรารู้จักรักและถนอมดวงตาของเรามันก็จะช่วยให้เราลดปัญหาทางด้านสายตาไปมากเหมือนกัน และควรรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์กับสายตาบ้าง อาหารบำรุงสายตาสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาในการทำงานเยอะๆเช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานๆ ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา โดยสายตาอ่อนล้าได้ง่าย ฉะนั้นอาหารที่เราจะรับประทานก็ควรที่จะเป็นอาหารบำรุงสายตาให้มากๆ สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตาก็จะประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินอีและวิตามินซี


วิตามินเอ
วิตามินเอ ประกอบไปด้วยลูทีนและซีเซนทีน ก็สามารถช่วยบำรุงให้ดวงตาชุ่มฉ่ำมีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอย่างพอเหมาะตาจะไม่แห้งและระคายเคืองง่าย แถมยังช่วยปกป้องดวงตาจากรังสียูวีหรือรังสีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คอยจ้องจะทำลายดวงตา แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอมากพบได้ในผลผลิตจากสัตว์ เช่น ตับ ไข่แดง นม น้ำมันสกัดจากตับปลา ส่วนพืชที่มีสารประกอบแคโรทีน ที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ เช่น พืชที่มีสารสีเขียวจัด แสด เหลือง อย่างผักบุ้ง มะละกอ ฟักทอง

วิตามินอี
วิตามินอี ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเรตินา ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระไม่ให้มาทำลายจอรับภาพภายในดวงตาได้เป็นอย่างดี แหล่งที่พบวิตามินอี มีมากในข้าวซ้อมมือ ไข่ น้ำมันพืชผักสีเขียว และในข้าวหรือแป้ง ที่เสริมวิตามิน

วิตามินซี
วิตามินซี จะช่วยให้เส้นเลือดฝอยที่คอยส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงดวงตาให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยลดความดันของน้ำภายในลูกตา และยังป้องกันการเกิดตาเป็นต้อได้ แหล่งวิตามินซีมีมากในผักตระกูลกะหล่ำ เช่นกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บล็อกโคลี การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก

นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แล้วยังมีปลา ซึ่งปลานั้นสามารถช่วยบำรุงให้ดวงตาใสเป็นประกายได้ เพราะในปลามีกรดไขมันโอเมก้า-๓ อยู่มาก ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้นอกจากจะเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของเรตินาในดวงตาให้สามารถรับภาพให้คมชัดขึ้นแล้ว ยังช่วยในการขับสารพิษตกค้างออกจากดวงตาของเราได้อีกด้วย

หมายเหตุ : การแพทย์แผนโบราณของจีน นิยมใช้ลำไยอบแห้ง มาเป็นส่วนผสมในตัวยา เนื่องจากมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาทตา

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน