Showing posts with label คอลลาเจน. Show all posts
Showing posts with label คอลลาเจน. Show all posts

คอลลาเจน (Collagen )


คอลลาเจนคือ โปรตีนชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบหลักๆ ที่อยู่ใต้ชั้นหนังแท้ โปรตีนชนิดนี้มีส่วนประกอบถึง 25% ถึง 35% ของจำนวนหน่วยโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย แต่จะมีมากที่สุดที่ผิวหนัง ส่วนที่ปะปนอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อมีแค่ 1-2 % เท่านั้นเอง โดยจะทำหน้าที่ประสานเนื้อเยื่อของผิวหนังเข้าด้วยกัน โปรตีนแห่งความงามนี้ มีชื่อเรียกว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนสำคัญของผิวหนัง เพราะเป็นส่วนสปริงของผิวหนัง ในการสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ แต่เมื่ออายุย่างเข้าปีที่ 20 จะเริ่มมีการสูญเสียคอลลาเจน ทุกๆ ปี ปีละ 1% เมื่อขาดคอลลาเจน ผลเสียที่ตามมา คือ ทำให้ผิวเกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น หยาบกระด้าง ไม่หยืดหยุ่น เพราะฉะนั้น การเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวกายนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ปัจจุบันนี้จะมีการพูดถึง คอลลาเจน กันอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์แห่งความงามและเครื่องสำอาง และ ความงาม
สำหรับคอลลาเจนมีการนำมาใช้งานอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ศัลยกรรมความงาม ศัลยกรรมกระดูก การจัดฟัน และวงการศัลยกรรมทั่วไป เป็นส่วนประกอบของผิวหนังสังเคราะห์ที่ใช้ในผู้ป่วยที่สูญเสียผิวหนังเนื่อง จากอุบัติเหตุไฟไหม้ ซึ่งใช้คอลลาเจนสังเคราะห์จากผิวหนังของลูกวัว(Bovine), หรือจากหมู (Equine, Porcine) บางครั้งจะใช้ผิวหนังจากผู้บริจาค หรือใช้ซิลิโคนสังเคราะห์แทน
เนื่องจากคอลลาเจนเมื่อรับประทานเข้าไปจะย่อยสลายเป็นโปรตีนและกรดอะมิโนใน จึงไปช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดังนั้นปัจจุบันนี้จึงได้มีการคิดค้น นำสารสกัดโปรตีนจากปลาทะเลบางประเภท ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้างของคอลลาเจนของผิวคน โดยวิธีการ (Enzymatic Hydrolysis) มาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วพบว่าภายหลังการรับประทานไประยะหนึ่ง จะสามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ จางหายไป
วิธีการนำคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย
วิธีการนำสารสกัดโปรตีนคอลลาเจน เข้าสู่ร่างกายเพื่อหวังผลในการบำรุงผิว และลดริ้วรอยนั้น ปกติจะทำได้อยู่ 2 วิธีคือ โดยการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ซึ่งต้องจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ส่วนวิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีการที่สะดวกกว่า ผลที่ได้รับจากการบริโภคคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังอย่างได้ผล และทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มเนียนขึ้น
ประสิทธิผลของการใช้คอลลาเจนระยะเวลาที่จะเห็นผลตั้งแต่ 30 - 60 วัน
- ริ้วรอยตื้นขึ้น 50%
- ผิวที่หย่อนยานกระชับขึ้น 60%
- ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น 45%
- จะพบว่าในส่วนของผม, เล็บ จะแข็งแรง และ หนาขึ้น

หมายเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างถึงแม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าไม่รู้จักศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนนำมาใช้หรือว่าไม่ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ อาจะเป็นโทษต่อร่างกายได้

ประโยชน์และโทษของการกินยาร่วมกัน


สำหรับผู้ที่ไม่ความรู้เรื่องการกินยาหรือว่าอาหารเสริม มักทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกันการกินยาร่วมกันหลายขนาน เช่นคนที่เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย เลยคิดว่าตนเองต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มากเพื่อช่วยเพิ่มเลือด ซึ่งถือว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ฉะนั้นเรามาดูกันว่ายาชนิดไหนที่สามารถกินร่วมกันได้แล้วก่อให้เกิดประโยชน์กับคนกิน และยาชนิดไหนที่กินร่วมกันไปแล้วก่อให้เกิดโทษ เพื่อที่จะได้ไม่เอาชีวิตอันมีค่าของเราไปเสี่ยงกับการกินยาแบบผิดๆ

ยาและอาหารเสริมที่กินร่วมกันแล้วก่อให้เกิดประโยชน์
- วิตามินซี และ คอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊ง ไม่เหี่ยว ไม่หย่อนยาน
- ธาตุเหล็ก และ วิตามินซี การจะกินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกินคู่กัน เช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูง เช่นใบตำลึงหรือผักใบเขียวอื่นๆ
- แคลเซียม และ แมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไป ได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดี และ วิตามินเค ด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ
- วิตามินเอ วิตามินซี และ วิตามินอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียว ส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ
- น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอ + อีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่าดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้า อยากบำรุงสมอง ต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่น ข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มี อีพีเอ สูงด้วย

ยาและอาหารเสริมที่กินร่วมกันแล้วก่อให้เกิดโทษ
- น้ำมันปลา และ แอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์ เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่
- วิตามินอี และ อีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหา พร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่ง ถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดอันตรายกับหัวใจแทน
- แคลเซียม และ แคลเซียมสด : ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้
- กาแฟ และ แคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมนอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย
- ธาตุเหล็ก และ เลือดจางธาลัสซีเมีย : เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไป หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเอง


 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน