แมมโมแกรม (mammogram)


เมื่อปลายเดือนที่แล้วรู้สึกเจ็บบริเวณเต้านมด้านขวา เจ็บแบบบอกไม่ถูกเจ็บแป๊บๆ ไม่ถึงขั้นเจ็บมากจนทนไม่ไหว แต่ก็ทำให้รู้สึกเครียดได้เหมือนกัน ลองคลำบริเวณเต้านมเพราะคิดมากกลัวว่าจะเป็นมะเร็งเต้านมหรือเปล่า ลองทำการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองแต่ก็ไม่พบก้อนผิดปกติ แต่ก็ยังไม่คลายความกังวลไปได้ ในที่สุดเลยตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจ แพทย์ตรวจแบบวิธีคลำหาก้อนเนื้อในเต้านมด้วยมือเปล่าก่อน แล้วนัดวันให้ไปทำแมมโมแกรมอีกทีวันที่ 25 เดือนนี้ เราก็เกิดความสงสัยไปอีกว่า แมมโมแกรมคืออะไร เวลาทำจะเจ็บหรือไม่ และจะมีผลข้างเคียงกับตัวเราอย่างไร ก็เลยทำการค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและเมื่อได้ข้อมูลแล้วก็อ่านจนเข้าใจ หากว่าใครมีอาการเหมือนเราแล้วอยากจะไปทำการตรวจแมมโมแกรมบ้าง ก็อ่านข้อมูลทำความเข้าใจก่อนได้นะคะ

แมมโมแกรมคืออะไร
แมมโมแกรมคือ การถ่ายเอกซเรย์เต้านมทั้ง 2 ข้าง โดยปกติจะทำกัน 2 ท่า คือ
1. ถ่ายเต้านมด้านตรง (Craniocaudal view - CC)
2. ถ่ายแนวเอียง (Mediolateral oblique - MLO)

ทำไมถึงต้องทำแมมโมแกรม
เพราะปัจจุบันนี้การเกิดของมะเร็งเต้านมในประเทศไทยพบสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของผู้หญิง แมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่าเป็นเครื่องมีอที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการตรวจพบหินปูนในเต้านม ซึ่งหินปูนบางชนิดจะพบได้ในมะเร็ง เต้านมระยะเริ่มแรกซึ่งไม่สามารถค้นพบจากการตรวจร่างกาย ก็จะสามารถตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือชนิดนี้
ควรทำแมมโมแกรมเมื่ออายุเท่าไหร่
การทำแมมโมแกรมจะทำในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หากผู้ที่มีญาติสายตรง (มารดา, พี่สาว, น้องสาว) เป็นมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว ควรเริ่มตรวจเมื่ออายุเท่ากับญาติสายตรงที่เป็นลบลงมาอีก 5 ปี

ควรทำแมมโมแกรมบ่อยแค่ไหน
1. สำหรับผู้หญิงทั่วไปที่ไม่มีอาการผิดปกติ ควรรับการตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี
2. กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ควรมาตรวจแมมโมแกรมทุก 1 ปี
- ผู้หญิงที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม (มารดา , พี่สาว , น้องสาว , บุตรสาว)
- ผู้ที่เคยรับการฉายแสงเพื่อรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นที่บริเวณหน้าอก
- ผู้ที่ได้รับยาฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว 1 ข้าง
- ผู้ที่ได้รับการเจาะตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบภาวะที่เรียกว่า Atypical ductal hyperplasia

กำลังมีประจำเดือนอยู่ทำแมมโมแกรมได้หรือไม่
ระยะของประจำเดือนจะไม่มีผลต่อภาพที่ได้จากแมมโมแกรมอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากอยู่ในช่วงที่ใกล้มีประจำเดือน หรือกำลังมีประจำเดือนอยู่ เต้านมจะมีการคัดตึงตามธรรมชาติ จะทำให้เจ็บเวลากดเต้านมขณะทำแมมโมแกรม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจเมมโมแกรมคือ 7-14 วันหลังมีประจำเดือน อย่างไรก็ตามท่านไม่ต้องกังวลถ้าวันนัดของท่านไม่ตรงกับช่วงเวลาดังกล่าว

การทำแมมโมแกรมเจ็บหรือไม่
ขั้นตอนการตรวจแมมโมแกรมจำเป็นต้องมีการกดเต้านม โดยมีจุดประสงค์หลัก เพื่อทำให้เนื้อเต้านมแผ่ออกไม่บังสิ่งผิดปกติถ้ามี นอกจากนี้ยังลดปริมาณรังสีที่เต้านมจะได้รับ แต่ท่านไม่ต้องกังวลว่าการตรวจจะเจ็บมาก เพราะจากการศึกษาของศูนย์ตรวจวินิจฉัยเต้านมโรงพยาบาลรามาธิบดี จากจำนวนผู้รับการตรวจ 765 ราย 23% บอกว่าไม่เจ็บเลย, 48% เจ็บเล็กน้อย 25% เจ็บปานกลาง มีเพียง 4 % ที่บอกว่าเจ็บมาก

การทำแมมโมแกรมจะได้รับรังสีมากไหม
ปริมาณรังสีที่จะได้รับจากการทำแมมโมแกรมนั้นถือได้ว่าน้อยมากๆ และไม่มีรายงานว่าทำให้เกิดอันตรายในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามก่อนการตรวจท่านควรแน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทารกได้รับรังสีโดยไม่จำเป็น
การทำแมมโมแกรมเชื่อถือได้ 100% หรือไม่ว่าจะไม่พบมะเร็ง
แมมโมแกรมมีข้อจำกัดกับการมีภาวะบางประการเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ ความหนาแน่นของเนื้อเต้านม เต้านมคนเรามีส่วนประกอบหลักๆ คือ ส่วนที่เป็นเนื้อของเต้านม (รวมท่อน้ำนม , ต่อมน้ำนม , เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน) และส่วนที่เป็นไขมัน ในรายที่เนื้อเต้านมหนาแน่นมาก เช่น อายุน้อย เนื้อเต้านมมีโอกาสบังสิ่งผิดปกติทำให้ตรวจไม่พบ นี่ก็ถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ทำแมมโมแกรม ในผู้หญิงอายุน้อยที่ไม่มีอาการผิดปกติของเต้านม

แล้วนอกจากนี้มะเร็งระยะเริ่มต้นบางกรณี อาจตรวจพบได้ยาก หรือไม่สามารถแยกจากความผิดปกติที่ไม่ใช่มะเร็งได้ โดยรวมแมมโมแกรม อาจให้ผลปกติแม้มีมะเร็งเต้านมอยู่ โดยมีโอกาสพบกรณีเช่นนี้ได้เพียงแค่ประมาณ 10% เท่านั้น ดังนั้นที่ศูนย์ตรวจวินิจฉัยเต้านม จึงนำอัลตราซาวด์มาใช้เสริมกับแมมโมแกรม เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจมากยิ่งขึ้น

การตรวจคัดกรอง (Screening) มะเร็งเต้านม ทำได้กี่วิธี
1. การตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน
2. การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการอบรมทุก 6 เดือน-1 ปี
3. การตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี



ข้อมูลจาก www.yourhealthyguide.com

โรคมะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer)


สำหรับผู้หญิงที่มักจะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด กินอะไรเข้าไปแล้วก็อิ่มง่าย จุกเสียด ปัสสาวะบ่อย ๆ ก็อย่าวางใจ นอกจากอาการเหล่านี้แล้วก็อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก เบื่ออาหาร และอาจมีเลือดออกในช่องคลอดร่วมด้วย คุณรู้หรือไม่ว่าคุณอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งรังไข่ได้ โดยทั่วไปแล้วโรคมะเร็งทุกชนิดจะเหมือนกันคือยิ่งทำการตรวจพบเร็ว การรักษาก็จะได้ผลดี สำหรับโรคมะเร็งรังไข่ก็เช่นกันมักจะวินิจฉัยได้ช้า เนื่องจากอยู่ภายในช่องท้อง และมักจะไม่มีอาการในช่วงระยะแรกของโรค แต่หากค้นพบแรกเริ่มจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากมีคนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคมะเร็งรังไข่มาก่อน ควรรีบไปทำการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งทุกปี เพราะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคดังกล่าวได้

สาเหตุโรคมะเร็งรังไข่ ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจริงๆ แล้วเกิดมาจากสาเหตุใด แต่จะพบเหตุส่งเสริมที่ทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ได้ ดังนี้คือ

1.สภาพแวดล้อม เช่น สารเคมี อาหาร เนื่องจากพบว่าในประเทศอุตสาหกรรมมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ มากกว่าประเทศเกษตรกรรม

2.สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้ หรือมีบุตรน้อย

3.ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร โอกาสเป็นมะเร็งรังไข่มีมากกว่าคนปกติ


ลักษณะอาการของโรคมะเร็งรังไข่

1. เริ่มแรกอาจไม่มีอาการ ซึ่งแพทย์ตรวจพบโดยบังเอิญ

2. มีอาการท้องอืดเป็นประจำ

3. มีลักษณะเป็นก้อนอยู่ในท้องน้อย

4. ปวดแน่นท้อง หากก้อนมะเร็งโตมากก็จะกดกระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ส่วนปลาย ทำให้ถ่ายปัสสาวะ หรืออุจจาระลำบาก

5. ในระยะท้าย ๆ อาจมีน้ำในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้นกว่าเดิม เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด

การวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่

1.การตรวจภายในอาจคลำพบก้อนในบริเวณท้องน้อย การคลำพบก้อนในรังไข่ได้ในสตรีวัยหมดประจำเดือน ควรนึกถึงมะเร็งรังไข่ไว้ด้วย (เพราะตามปกติวัยหมดประจำเดือน รังไข่จะฝ่อ)

2.การทำแปปสเมียร์จากในช่องคลอดส่วนบนทางด้านหลัง อาจพบเซลล์มะเร็งของรังไข่ได้

3.การตรวจด้วยเครื่องความถี่สูง อาจช่วยบอกได้ว่ามีก้อนในท้อง ในรายที่อ้วน หรือหน้าท้องหนามากคลำด้วยมือตามปกติจะตรวจไม่พบ

4.การผ่าตัดเปิดช่องท้อง และตรวจดูเป็นวิธีที่สำคัญ และแม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยโรคอย่างแน่นอน สามารถขริบ หรือตัดเอาเนื้อมาตรวจหาชนิดของมะเร็ง และทราบถึงระยะของโรคร้าย

การป้องกันโรคมะเร็งรังไข่

เนื่องจากการเป็นโรคมะเร็งรังไข่ในระยะแรก ๆ มักจะไม่มีอาการบ่งบอกให้ทราบ อีกทั้งยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดได้อย่างแท้จริง การป้องกันจึงทำได้ยากมาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ควรรับการตรวจภายใน หรือตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงโดยแพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

สำหรับการรักษาจะทำด้วยวิธีการผ่าตัดซึ่งจะเป็นวิธีแรกที่แพทย์จะเลือกทำการรักษา ถ้าไม่สามารถตัดออกได้หมด เนื่องจากโรคได้กระจายออกไปมากแล้ว แพทย์จะพยายามตัดส่วนที่เป็นออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะให้การรักษาต่อด้วยเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด

ข้อมูลจาก www.healthcorners.com

เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่น


เมื่อมีผู้ป่วยให้ต้องดูแล หากผู้ป่วยมีอาการ เป็นไข้ ตัวร้อน การดูแลเบื้องต้นที่เราจะรู้กันดี คือการหายาลดไข้มาให้กินก่อน จากนั้นจึงใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวผู้ป่วย เพื่อลดความร้อนในร่างกาย แต่การจะใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวผู้ป่วยนั้น หลายคนอาจจะยังไม่รู้กันเลยว่า ที่ถูกต้องนั้นเค้าใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น แต่ส่วนใหญ่จากที่เราได้คุ้นเคยและทำกันมานมนานนั้นก็มักจะใช้น้ำเย็น บางครั้งยังกลัวว่าน้ำจะเย็นไม่พอ ถึงขนาดใช้น้ำแข็งมาผสมกับน้ำเย็นด้วยซ้ำ คุณรู้หรือไม่ว่านั่นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะการเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นจะทำให้ผู้ป่วยยิ่งรู้สึกหนาวสั่นมากกว่าเดิมไปอีก แถมซ้ำความเย็นจากน้ำยังไปทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังหดเกร็ง ซึ่งถือว่าเป็นการไปเพิ่มการใช้พลังงาน จนทำให้ความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนวิธีที่ถูกต้องคือต้องใช้ น้ำอุ่น เพราะเนื่องจากการน้ำผ้าไปชุบน้ำอุ่นแล้วบิดให้หมาดๆ นำมาเช็ดตามตัวเพื่อให้ผิวหนังออกแดงๆ จะเป็นการช่วยขับให้เหงื่อออกมา จะเป็นการช่วยให้ร่างกายได้ระบายความร้อนจากพิษไข้ออกมาด้วย แล้วยังลดอุณภูมิของร่างกายลงอย่างได้ผลดี

ทีนี้เราก็รู้กันแล้วใช่ไหมคะว่า หากจะต้องทำการเช็ดตัวให้ผู้ป่วยเพื่อช่วยลดไข้ เราต้องใช้น้ำอุ่นเท่านั้น อย่าเผลอไปใช้น้ำเย็นอีกล่ะ แทนที่ผู้ป่วยจะหายจากอาการป่วยกลับกลายเป็นว่าป่วยหนักเข้าไปอีก แต่หากทำทานยาลดไข้ เช็ดด้วด้วยน้ำอุ่น และดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง นอนพักผ่อนมากๆ แล้วยังไม่หาย ขอแนะนำว่าไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องจะดีกว่าค่ะ

ดื่มน้ำขิงเพื่อสุขภาพ


การดื่มน้ำขิงสามารถช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย เพราะเนื่องจากขิงเป็นสมุนไพรที่มากไปด้วยคุณประโยชน์ น้ำขิงจะมีรสชาติก็เผ็ดร้อน กลิ่นก็หอมถูกปากถูกใจคนดื่มอย่างมาก และขิงยังมีคุณสมบัติในการช่วยขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในขิงจะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้

วิธีนำขิงมาทำน้ำสมุนไพรดื่ม โดยนำขิงที่แก่จัดทุบแล้วนำไปต้ม หรือตากให้แห้งแล้วบดเป็นผงแล้วนำชงกับน้ำดื่ม จะสามารถช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อได้ หรือจะนำขิงสดมาทานก็จะช่วยย่อยอาหาร แก้อาการเมารถ โดยนำขิงสดมาทุบให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือป่นประมาณหยิบมือ คนให้ละละลาย แล้วดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊สและแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ หรือจะนำมาจิบเพื่อช่วยแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ต้มหอม ๆ กลิ่นของมันยังช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นขิงแก่หรือขิงอ่อนก็สามารถให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมากมาย เช่น พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ

เมื่อเราทราบถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำขิงแล้ว ต่อไปนี้หันมาดื่มน้ำขิงเพื่อสุขภาพวันละแก้วนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก กลุ่มสารนิเทศและวิเทศสัมพันธ์ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

สีปัสสาวะบอกเหตุอะไรได้บ้าง


การปัสสาวะในแต่ละครั้งเราจะรู้ดีว่า ปัสสาวะที่ออกมานั้นจะมีสีอ่อนหรือสีเข้มแค่ไหน คนส่วนใหญ่จะรู้เพียงแค่ว่าหากปัสสาวะสีเข้มก็เพราะเราดื่มน้ำน้อยเกินไป หากปัสสาวะมีสีอ่อนหรือว่าใสก็เพราะเราดื่มน้ำในปริมาณที่มากพอในแต่ละวัน แต่เราไม่ทราบรายละเอียดลึกๆ เกี่ยวกับสีปัสสาวะที่ร่างกายเราขับถ่าย ว่าสามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสุขภาพของเราได้ และทำให้เรารู้ว่าขณะนั้นร่างกายเราปกติดีอยู่หรือไม่ ลักษณะสีของปัสสาวะแบบไหนที่เป็นอันตรายควรได้รับการตรวจร่างกายโดยละเอียดจากแพทย์ หากเราไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ อาจส่งผลให้เราเกิดการเจ็บป่วยจนถึงขั้นยากที่จะเยียวยารักษาได้ เรามาสังเกตุสีของปัสสาวะกันดีกว่าค่ะ ว่าสีปัสสาวะแต่ละสีจะบอกเหตุอะไรเราได้บ้างเพื่อที่เราจะได้รับมือหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีอมแดง
หากขับถ่ายปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดงแบบนี้ เราต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับประทานอาหารอะไรที่มีลักษณะสีทำนองนี้ไปหรือเปล่า เช่น ผลแบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่หากเราแน่ใจแล้วว่าไม่ได้กินอะไรที่ใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็สามารถบอกได้ว่าสีแดงที่ออกมานั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะซึ่งอาจจะมีการอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอวัยวะภายในร่างกายอาจฉีกขาดก็เป็นได้ จึงควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีน้ำตาล
ในกรณีนี้สามารถมองได้เป็น 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการที่เรากินถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นเพราะมีลิ่มเลือดปนออกมากับปัสสาวะก็ได้ ทางที่ดีเราควรปรึกษาแพทย์จะดีกว่า

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีเหลือง
ปัสสาวะที่ออกเป็นสีเหลืองอ่อน ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าวันนั้นร่างกายอาจจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า เราดื่มน้ำในปริมาณน้อยเกินไป แต่หากมั่นใจว่าเราดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะที่ออกมายังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่เหมือนเดิม เราก็ควรจะต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพราะอาจจะมีโรคไตแฝงอยู่ก็เป็นได้

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมามีสีขุ่น
สำหรับผู้ที่ปัสสาวะออมามีสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มคั้นดูว่าหายหรือไม่ หากไม่หาย ก็สันนิฐานได้ว่าอาจมีการติดเชื้อบางอย่างในร่างกายก็เป็นได้ อาการอย่างนี้ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เช่นกัน

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีส้ม
การที่ปัสสาวะออกมาเป็นสีอย่างนี้ อาจจะเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีน้ำเงิน
หากปัสสาวะที่ออกมามีสีอย่างนี้ ก็ไม่ต้องตกใจโดยเฉพาะคนที่ทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยาประเภทนี้จะมีส่วนผสมของสารเมธีลีน และจะขับออกมาทางปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะมีสีออกฟ้าๆ

หากเข้าห้องน้ำในครั้งต่อไปอย่าลืม สังเกตดูสีปัสสาวะของตัวเองด้วยนะคะ เพราะถึงแม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากขาดการเอาใจใส่สุดท้ายก็จะกลายเป็นผลร้ายกับตัวเองได้

ปฎิบัติตัวอย่างไรไม่ให้นอนกรน


เสียงกรนเป็นเสียงที่น่ารำคาญสำหรับคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่เป็นอันตรายสำหรับคนที่นอนกรน ทราบหรือไม่ว่าการกรน (Snoring) เกิดจากกล้ามเนื้อคอคลายตัวขณะนอนหลับจนทำให้ช่องคอแคบลง ซึ่งส่งผลให้ต้องหายใจเข้าออกแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อทางเดินหายใจแคบลงจนถึงจุดหนึ่ง ความแรงของลมหายใจที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อภายในระบบทางเดินหายใจ ก็จะทำให้เกิดเสียงกรนตามมา นอกจากนี้การกรนยังเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการปิดกั้นของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อภายในระบบทางเดินหายใจ อย่าง ลิ้น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน คอ หรืออาจเกิดจากสารหล่อลื่นในระบบทางเดินหายใจลดลง ทำให้เกิดอาการแห้ง และบวม ทางเดินหายใจจึงแคบลง เมื่อหายใจจึงเกิดเป็นเสียงกรน

อัตราการกรนจะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะ ผู้สูงวัย คนอ้วน ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือโรคจมูกอักเสบ ผู้ที่ทำงานหักโหม หรือออกกำลังกายมากเกินไป นอกจากนี้การดื่มสุรา สูบบุหรี่จัด กินยานอนหลับก็จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรนได้ เพราะถ้าหากช่องคอแคบลงอีกเรื่อยๆ ก็จะส่งผลให้เกิดการอุดตันในช่องคอแบบชั่วคราว ทำให้ลมหายใจเข้าออกขาดหายไปชั่วขณะ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งหากใครมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะหากขืนปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจเป็นโรคอื่นๆ ตามมาได้อย่างเช่น โรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง อัมพาต ตลอดจนทำให้มีปัญหากับคนที่นอนใกล้ชิด

ปฎิบัติตัวอย่างไรไม่ให้นอนกรน
1. ควบคุมน้ำหนัก ความอ้วนจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนกรน เพราะไขมันที่ไปสะสมบริเวณช่องทางเดินหายใจ จะถูกเบียดให้เล็กลง โดยเฉพาะขมันที่สะสมอยู่บริเวณหน้าอกและท้องก็ยังเป็นภาระให้ร่างกายต้องหายใจหนักขึ้น และต้องใช้พลังงานในการหายใจมากขึ้น

2. การออกกำลังกาย ควรหมั่นออกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อที่ดึงรั้งช่องทางเดินหายใจมีความแข็งแรงขึ้น ขณะที่นอนหลับเนื้อเยื่อภายในปากจะได้ไม่หย่อนลงมาจนขัดขวางช่องทางเดินหายใจ

3. การจัดท่านอน การนอนตะแคงงอข้อศอก จะสามารถช่วยป้องกันการหายใจเข้าออกทางปากได้ เพราะมือข้างหนึ่งจะไปยันคางไว้เพื่อเป็นการปิดปาก นี่ก็เป็นอีกวิธีป้องกันไม่ให้นอนกรน

4. ยกศีรษะให้สูงขึ้น หากไม่สามารถนอนตะแคงได้จริงๆ ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นนอนหงายแล้วใช้หมอนเล็กๆ หนุนที่บริเวณหลังคอด้านบน ยกศีรษะให้สูงจากเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้นหย่อนลงไปในลำคอจนเกิดเสียงกรนได้

5. ควรดูแลรักษาที่นอนให้สะอาด เพื่อไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดหอบหืด ภูมิแพ้ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการกรน เช่น ไรฝุ่น เศษฝุ่น และเศษขนสัตว์

6. อย่าให้มีสิ่งกีดขวางในโพรงจมูก ควรทำความสะอาดช่องจมูกก่อนนอน จะช่วยให้ช่องจมูกเปิดโล่ง ลมผ่านเข้าออกได้อย่างสะดวก

7. เพิ่มระดับความชื้นในห้องนอน หากนอนในห้องที่มีอากาศแห้งเกินไป จะทำให้เยื่อบุต่างๆในระบบทางเดินหายใจพลอยแห้งตามไปด้วย บางรายอาจเกิดอาการบวมและทางเดินหายใจตีบแคบลง จนเกิดอาการนอนกรนในที่สุด

ประโยชน์ของการทานสับปะรด


สับปะรดเป็นผลไม้ไทยที่หาทานได้ง่าย มีรสอมเปรี้ยวอมหวาน จะทานสับปะรดเปล่าๆ หรือจะทานกับพริกกะเกลือก็อร่อยชื่นใจเช่นกัน สับปะรดยังสามารถนำไปทำอาหารได้ทั้งคาวและหวาน และที่สำคัญการทานสับปะรดจะไม่ได้แค่ความอร่อยอย่างเดียว ยังให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย หากทานสับปะรดหลังอาหารจะทำให้เบาสบายท้องและไม่รู้สึกอึดอัด

นั่นก็เพราะในสับปะรดมีความสามารถในการช่วยย่อย โดยเฉพาะในอาหารประเภทโปรตีน เราจึงเห็นคนส่วนใหญ่ใช้สับปะรดมาช่วยในการหมักเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ให้นุ่มยิ่งขึ้น รวมถึงสับปะรดยังอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสุขภาพและภูมิต้านทานโรคได้ดีขึ้น หากคนที่ทานสับปะรดอยู่เป็นประจำจะทำให้สุขภาพดี ไม่ค่อยเป็นหวัด และในสับปะรดยังมีโพแทสเซียมสูงที่ช่วยป้องกันการเป็นตะคริว และลดความดันได้ นอกจากนี้สับปะรดยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้เป็นอย่างดี

ปริมาณการบริโภคสับปะรดที่เหมาะสมคือ 100 กรัมต่อวัน และควรกินสับปะรดสด ๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการความร้อนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียวิตามินต่างๆ ไป

เมื่อเราทราบถึงคุณประโยชน์ของการทานสับปะรดกันแล้ว อย่าลืมหันมาทานสับปะรดเป็นผลไม้ล้างปากหลังทานอาหารกันนะคะ นอกจะทำให้สุขภาพของเราดีแล้วยังช่วยเกษตรกรไทยให้มีรายได้สำหรับเลี้ยงดูครอบครัวได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน