โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)

เป็นภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่ง โดยจะตรวจพบความดันโลหิต อยู่ในระดับที่สูงกว่าปรกติเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ความดันโลหิตที่วัดค่าบนได้มากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และ การที่ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหัวใจโรคไตวาย เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง อัมพาต ฯลฯ


บุคคลที่มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง

1. อ้วน และมีไขมันในเลือดสูง
2. มีญาติพี่น้องเป็นโรคความดันโลหิตสูง
3. บุคคลที่สูบบุหรี่จัด หรือว่าดื่มเหล้าเป็นประจำ
4. เป็นโรคไต หรือโรคเบาหวาน
5. มีความเครียดเป็นประจำ

ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต

ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ดังนี้
1. อายุ ส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นกฎตายตัวว่าอายุมากขึ้นความดันโลหิตจะสูงขึ้นเสมอไป อาจวัดค่าได้เท่าเดิมก็ได้
2. เวลา ความดันโลหิตจะขึ้นๆ ลงๆ ไม่เท่ากันตลอดวัน จากการตรวจวัดความดันโลหิตจะแตกต่างกัน ตอนเช้า ช่วงบ่ายและขณะนอนหลับ
3. จิตใจและอารมณ์ พบว่ามีผลต่อความดันโลหิตได้มาก ขณะที่ได้รับความเครียด ขณะที่พักผ่อนความดันโลหิตก็จะสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ แต่เมื่อรู้สึกเจ็บปวดก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้เช่นกัน
4. เพศ พบว่าเพศชายจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้บ่อยกว่าเพศหญิง
5. พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ผู้ที่มีบิดาและมารดา เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติในครอบครัว
6. เชื้อชาติ พบว่าชาวแอฟริกันอเมริกันมีความดันโลหิตสูงมากกว่าชาวอเมริกันผิวขาว
7. ปริมาณเกลือ ที่รับประทาน ผู้ที่รับประทานเกลือมากจะมีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่รับประทานเกลือน้อย


ไมเกรน Migraine

คือ โรคปวดศีรษะชนิดหนึ่ง มักมีอาการปวดข้างเดียว แถวขมับ หรืออาจจะปวดบริเวณเบ้าตา อาการปวดไมเกรนอาจจะปวด 2-4 ชั่วโมง หรืออาจจะปวดได้นานถึง 2-3 วัน หรืออาจจะมีอาการปวดศีรษะจะรุนแรงมากขึ้นอีก เมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย และในขณะที่มีอาการปวดมักจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
อาการปวดไมเกรนมักมีอาการนำมาก่อนที่จะเกิดอาการปวด เรียกว่าออร่า คืออาจจะเป็นแสงแวบเข้าตา แสงจ้า ตาพร่ามัว มีอาการชาที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย ซึ่งจะเกิดเป็นช่วงสั้นๆ
ไมเกรนพบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มักจะพบในช่วงอายุ 10-40 ปี แต่พบในเด็กอายุ 7-8 ขวบได้ โดยพบอัตราการเกิดไมเกรนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงมีอัตราการเกิดร้อยละ 18 ผู้ชายร้อยละ 6 และในเด็กร้อยละ 4 แต่พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ อาการจะน้อยลง


สารอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรน

- สารไทรามีน (tyramine) พบเป็นองค์ประกอบธรรมชาติในอาหาร ได้แก่ เนยแข็ง (cheese) เครื่องในสัตว์ ปลาเฮอริ่ง ถั่วลิสง เนยถั่ว ช็อคโกแลต กะหล่ำปลีดอง ไส้กรอก กล้วยสุกงอม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเบียร์ ผู้ที่มีความไวต่อสารไทรามีน เมื่อรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง
- สารเฟนนิลเอททิลลามีน (Phenylethylamine หรือย่อว่า PEA) สารชนิดนี้ทำให้ปวดหัวได้สำหรับบางคน พบในช็อกโกแลตหรือโกโก้ แต่งานวิจัยในระยะหลังไม่อาจสรุปได้ว่าช็อกโกแลตจะกระตุ้นอาการไมเกรน
- สารแทนนิน แทนนินเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร เช่น น้ำแอปเปิ้ล ชา กาแฟ ช็อคโกแลต ไวน์แดง เป็นต้น ถึงกระนั้นข้อมูลที่พบก็ยังไม่สามารถยืนยันเกี่ยวกับฤทธิ์การกระตุ้นให้เกิดไมเกรนเมื่อรับประทานสารแทนนินหรือสารไทรามีนเข้าไป
- สารเจือปนอาหาร (Food additives) สารปรุงแต่งรสหรือวัตถุกันเสียบางชนิด เช่น น้ำตาลเทียม ผงชูรส และดินประสิว ซึ่งใช้ใส่ในไส้กรอก แฮม เบคอน หรืออาหารรมควัน อาจกระตุ้นอาการปวดหัวได้ ผงชูรสอาจทำให้มีอาการปวดหัว ผู้ที่ร่างกายมีความไวต่อผงชูรสควรพยายามหลีกเลี่ยง
- สารคาเฟอีน คาเฟอีนเพียงเล็กน้อยอาจช่วยให้หายปวดหัวได้ในบางคน แต่ถ้าดื่มมากๆกลับทำให้ปวดหัวได้ เพราะหลังจากดื่มเข้าไปตอนแรกคาเฟอีนจะทำให้เส้นเลือดหดตัวก็จะทำให้คลายอาการปวดหัว แต่เมื่อดื่มมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้
- แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด เช่น ไวน์แดง นอกจากจะมีส่วนผสมของสารไทรามีนแล้วยังมีสารฟีนอล (phenols) และสารซัลไฟต์ (sulfites) ซึ่งใช้ในการหมักไวน์เป็นชนวนของการเกิดไมเกรน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ควรเมิน ได้แก่ ไวน์แดง แชมเปญ เวอร์มุท และเบียร์

การฝึกหายใจด้วยหน้าท้อง

ในเวลาที่รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง อาจจะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ การเติมออกซิเจนให้เต็มปอด ช่วยทำให้อัตราการหายใจช้าลงจนเป็นปกติ จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและลดการตึงเครียดลง มาดูวิธีการที่จะทำให้คุณผ่อนคลายหายจากอาการนี้กันดีกว่า


- คุณสามารถทำวิธีให้ได้ในขณะที่ยืนอยู่ แต่คุณจะรู้สึกสบายมากขึ้นถ้าได้นอนราบกับพื้น แล้วงอเข่า ฝ่าเท้าวางกับพื้น หายใจตามปกติ 1-2 นาที
- ถูมือให้อุ่น วางมือทับกันที่หน้าท้อง โดยให้ฝ่ามือด้านล่างอยู่ตรงสะดือ คุณจะสังเกตการเคลื่อนไหวของหน้าท้อง ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องเกร็งตัว ให้ถูมือให้อุ่นอีกครั้ง แล้ววางตำแหน่งเดิม
- ตั้งสมาธิดูการหายใจของตัวเอง ปล่อยตามธรรมชาติอย่าฝืน กดมือลงบนหน้าท้องตอนหายใจออก แต่หน้าอกยังอยู่ในระดับเดิม จากนั้นหายใจเข้าเพื่อไล่ความเครียด ทำไปเรื่อยๆ จะสังเกตได้ว่าท้องคุณสามารถหายใจเข้าได้ยาวขึ้น
- เมื่อคุณพร้อมจะหยุด เปิดใจรับถึงความอบอุ่น ความสบายและพลัง รอให้ความรู้สึกเหล่านี้แผ่ซ่านเข้าทุกเซลล์จนรู้สึกไปถึงกระดูกสันหลัง
- ทำซ้ำตามทุกขั้นตอนประมาณ 3-10 ครั้ง หาเวลาสำหรับการหายใจแบบนี้ให้บ่อยๆ และทำอย่างสม่ำเสมอ คุณจะได้ไม่เครียด

วิธีดูแลสุขภาพเท้าแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ใครๆก็อยากมีเท้าคู่สวยด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราขาดการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพเท้าของตัวเอง แล้วเราจะมีเท้าคู่สวยอย่างคนอื่นเค้าได้ยังไง หลายๆ คนละเลยกับการที่จะดูแลเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าใคร หรือแม้แต่ตัวเราเองยังไม่ชอบเลยถ้าเกิดว่ามีใครถอดรองเท้าออกมาแล้วมีกลิ่นเหม็น ซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นสังคมรังเกียจ ถึงแม้จะหน้าตาดี แต่งตัวสวย ปะพรมด้วยน้ำหอมกลิ่นเริ่ดหรูยังไง ก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ถ้าไม่อยากให้ตัวเราเองเป็นอย่างนั้นละก้อ รีบใส่ใจดูแลสุขภาพเท้ากันตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ


1. ล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ ประมาณ 10 นาที เวลาอาบน้ำทุกๆ วัน ซึ่งจะทำให้ผิวหนังที่เท้านุ่มแต่อย่าขัดแรง ถู แรงๆ หรือแช่ในน้ำเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้ง

2. เช็ดเท้าด้วยผ้าสะอาดให้แห้งสนิททุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าต้องให้แห้งจริงๆ

3. สำหรับผู้ที่มีกลิ่นเท้า หลังล้างเท้าสะอาดและเช็ดให้แห้งแล้วควรจะโรยแป้งทาตัวให้ทั่วเท้าแลซอกนิ้วเท้า รวมถึงอย่าใส่รองเท้าคับเกินไป ควรเลือกรองเท้าที่ใส่สบายและระบายอากาศได้ ถุงเท้าควรเป็นแบบผ้าฝ้าย เพราะจะระบายอากาศได้ดีกว่าถุงเท้าไนล่อน

4. ถ้าผิวแห้งควรทาวครีมชนิดที่ไม่มีน้ำหอมฉุนเพื่อความชุ่มชื้น โดยทาบางๆ ให้ทั่วทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า ห้ามทาครีมบริเวณซอกนิ้ว
เท้าเพราะอาเกิดการหมักหมมของเชื้อราได้

5. ถ้าเล็บยาวต้องตัดเล็บเท้าอย่างถูกวิธี โดยตัดตรงตามแนวขอบเล็บเท่านั้น ไม่ตัดเล็บเซาะเข้าไปด้านข้างหรือจมูกเล็บ และไม่ควรตัดเล็บสั้นเกินไป

6. ใส่รองเท้าให้เหมาะกับโรค ควรใส่รองเท้าที่เหมาะกับโรค ควรใส่รองเท้าที่เหมาะสมและถูกสุขลักษณะ เช่น ผู้ป่วยเบาหวานควรใส่รองเท้าที่ทำจากวัสดุที่มีลักษณะนิ่มและมีแผ่นรองรับแรงกระแทกที่ฝ่าเท้าไม่ควรใส่รองเท้าแตะชนิดที่มีสายรัดง่ามนิ้วเท้า

7. หมั่นตรวจเท้าด้วยตนเองเป็นประจำ สังเกตสีผิว กลิ่นเท้า อุณหภูมิของเท้า และอาการผิดปกติอื่นๆ เช่นปวดเท้า มีอาการชา บวม มีเม็ดพองหรือคัน เป็นต้น โดยตรวจให้ทั่วทั้งฝ่าเท้า ส้นเท้า ซอกนิ้วเท้าและเล็บเท้า หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์

เมื่อคุณหมั่นดูแลเท้าด้วยวิธีง่ายๆ แบบนี้เป็นประจำรับรองว่าคุณจะเป็นคนที่มีสุขภาพเท้าดีและมีเท้าคู่สวยที่จะอยู่คู่คุณตลอดไป


การเดินเพื่อสุขภาพ

เดินเป็นการออกกำลังกายที่มีประโยชน์มากที่สุด มีคำกล่าวที่ว่า เดิน 1 นาที ช่วยยืดอายุออกไป 12 นาที คุณคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เด็กเล็กเองก็จะสามารถสร้างภูมิต้านทานในตนเองได้ เพราะ
การเดินต่อเนื่องกัน 30 -40 นาทีถือได้ว่าวิเศษสุดและเป็นการบาดเจ็บน้อยที่สุดและหากเดินต่อเนื่องกัน 20 นาทีขึ้นไปจะเป็นการดีส่งผลให้ร่างกายกล้ามเนื้อพัฒนาขึ้นจิตใจก็สบาย
การออกกำลังกายด้วยวิธีเดินควรทำแบบเดินเร็วกว่าปกตินิดหนึ่ง แต่ไม่ต้องถึงกลับวิ่ง ข้อดี คือมีเวลาชมโน่นชมนี่ สร้างความสบายใจ

การเดินออกกำลังกายเหมาะกันคนทุกเพศทุกวัย คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เป็นโรคเบาหวาน ความดัน ควรออกกำลังกายด้วยการเดิน คนที่เป็นโรคเบาหวาน มีน้ำตาลในร่างกายมากกกว่าคนธรรมดาเนื่องจากเซลล์ไม่นำไปใช้ได้ดีเมื่อไม่ถูกใช้ก็จะเหลือน้ำตาลในกระแสเลือด การเดินจะทำให้เซลล์ได้รับฮอร์โมนต่างๆสมบูรณ์ขึ้น น้ำตาลในเลือดถูกใช้มากขึ้น ปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำลง นักวิทยาศาสตร์การกีฬาจะแนะนำคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานให้เดินออกกำลังกายจะทำให้ลดน้ำตาลได้มากขึ้นไม่ควรวิ่งจ๊อกกิ้ง เรื่องของพฤติกรรมบริโภค ควรปรับตัวช่วงเช้าควรทานอาหารครบ 5 หมู่ เนื่องจากร่างกายพักผ่อนมา 10 ชั่วโมง การก้าวเดินเร็ว ควรก้าวยาวกว่าปกติ ไม่ให้ตึงน่อง การก้าวยาว ๆ ทำให้กล้ามเนื้อด้านหลังบาดเจ็บได้ง่าย การเดินในที่ที่ไม่เรียบก็จะบาดเจ็บได้ง่าย เช่นปกติวิ่ง 20-30 นาที หากเปลี่ยนมาเป็นการเดิน ควรเพิ่มความนานกว่า 10-15 นาทีร่างกายก็จะเผาผลาญพลังงานได้เท่ากับการวิ่ง การเกร็งกล้ามเนื้อมากๆจะทำให้จิตใจเครียดควรผ่อนคลายบ้าง ควรเดินไปเรื่อยๆให้ต่อเนื่อง ไม่ควรหยุด
เมื่อเราทราบประโยชน์ที่พึงได้จากการเดินกันแล้ว ก็ถึงเวลามาเริ่มต้นกันเสียที วิธีการนั้นไม่ยาก แค่เริ่มเดินเสียแต่วันนี้ อย่าอิดออดรอเวลา รอฟ้ารอฝน อาจจะเริ่มจากระยะทางหรือเวลาสั้นๆ แค่ 5-10 นาที พอแค่มีเหงื่อ แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยเป็นวันละสักครึ่งชั่วโมง ทำสักอาทิตย์ละ 3-4 วัน หรือถ้าใครไม่ค่อยมีเวลา ลองใช้วิธีนี้ ลองนึกดูสิว่าในแต่ละวันมีกิจกรรมอะไรบ้างที่คุณสามารถเปลี่ยนมาใช้การเดินแทนได้ เช่น ปกติเวลาจะออกไปซื้อของใกล้ๆ กับที่พักก็จะใช้รถในการเดินทาง ก็เปลี่ยนมาเป็นเดินไปเดินกลับแทน หรือถ้าใครทำงานบนตึกชั้นที่ไม่สูงมาก สักชั้น 2-3 ก็ลองเลือกเดินขึ้นลงทางบันได แทนที่จะใช้ลิฟท์ และในระหว่างทำงานก็หมั่นลุกขึ้นเดินเหินเสียบ้าง อย่าเอาแต่ใช้คนอื่นให้ทำอะไรต่ออะไรให้ (แม้ว่าคุณจะเป็นเจ้านายเขาก็ตาม )

อาหารบำรุงสายตา

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จะต้องเผชิญกับปัญหาสายตาทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะสายตาสั้น สายตายาว หรือเป็นต้อหินต้อกระจก สาระพัด ซึ่งก็ถือว่าเป็นอุปสรรคสำหรับการใช้ชีวิตอยู่เหมือนกันถึงแม้มันจะไม่มากนัก แต่ทุกคนถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากมีปัญหาเกี่ยวกับสายตากันแน่นอน แต่ถ้าเรารู้จักรักและถนอมดวงตาของเรามันก็จะช่วยให้เราลดปัญหาทางด้านสายตาไปมากเหมือนกัน และควรรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์กับสายตาบ้าง อาหารบำรุงสายตาสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาในการทำงานเยอะๆเช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานๆ ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา โดยสายตาอ่อนล้าได้ง่าย ฉะนั้นอาหารที่เราจะรับประทานก็ควรที่จะเป็นอาหารบำรุงสายตาให้มากๆ สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตาก็จะประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินอีและวิตามินซี


วิตามินเอ
วิตามินเอ ประกอบไปด้วยลูทีนและซีเซนทีน ก็สามารถช่วยบำรุงให้ดวงตาชุ่มฉ่ำมีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอย่างพอเหมาะตาจะไม่แห้งและระคายเคืองง่าย แถมยังช่วยปกป้องดวงตาจากรังสียูวีหรือรังสีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คอยจ้องจะทำลายดวงตา แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอมากพบได้ในผลผลิตจากสัตว์ เช่น ตับ ไข่แดง นม น้ำมันสกัดจากตับปลา ส่วนพืชที่มีสารประกอบแคโรทีน ที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ เช่น พืชที่มีสารสีเขียวจัด แสด เหลือง อย่างผักบุ้ง มะละกอ ฟักทอง

วิตามินอี
วิตามินอี ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเรตินา ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระไม่ให้มาทำลายจอรับภาพภายในดวงตาได้เป็นอย่างดี แหล่งที่พบวิตามินอี มีมากในข้าวซ้อมมือ ไข่ น้ำมันพืชผักสีเขียว และในข้าวหรือแป้ง ที่เสริมวิตามิน

วิตามินซี
วิตามินซี จะช่วยให้เส้นเลือดฝอยที่คอยส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงดวงตาให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยลดความดันของน้ำภายในลูกตา และยังป้องกันการเกิดตาเป็นต้อได้ แหล่งวิตามินซีมีมากในผักตระกูลกะหล่ำ เช่นกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บล็อกโคลี การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก

นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แล้วยังมีปลา ซึ่งปลานั้นสามารถช่วยบำรุงให้ดวงตาใสเป็นประกายได้ เพราะในปลามีกรดไขมันโอเมก้า-๓ อยู่มาก ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้นอกจากจะเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของเรตินาในดวงตาให้สามารถรับภาพให้คมชัดขึ้นแล้ว ยังช่วยในการขับสารพิษตกค้างออกจากดวงตาของเราได้อีกด้วย

หมายเหตุ : การแพทย์แผนโบราณของจีน นิยมใช้ลำไยอบแห้ง มาเป็นส่วนผสมในตัวยา เนื่องจากมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาทตา

ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง

มะเร็งเต้านมเกิดจากเนื้อเยื่อของเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งซึ่งอาจจะเกิดเป็นมะเร็งเต้านมที่เกิดกับท่อน้ำนม หรือมะเร็งเต้านมที่เกิดกับต่อมน้ำนม มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อย ดังนั้นท่านผู้อ่านที่เป็นหญิงควรจะตรวจเต้านมตัวเอง

เต้านม...ตรวจเองก็ได้

เพื่อความไม่ประมาท ผู้หญิงทุกคนที่มีเต้านมเป็นของตัวเอง รีบลงมือตรวจโดยด่วน! เลือกเวลาเหมาะๆ ช่วงหลังจากมีรอบเดือนสัก 7-10 วัน จะได้ไม่เจ็บหน้าอกมากนักเวลาที่คลำเต้านม

ตรวจขณะอาบน้ำ

เวลาส่วนตั๊ว...ส่วนตัวแบบนี้ อาบน้ำนวดตัวแล้ว อย่าลืมหน้าอกเราล่ะ ค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วคลึงเบาๆ ทั่วเต้านม ดูว่ามีก้อนเนื้อแข็งหรือเป็นไตบ้างหรือเปล่า ช่วงที่อาบน้ำจะคลำได้ง่ายเพราะว่าผิวจะลื่น ง่ายต่อการคลำ

ยืนตรวจหน้ากระจก

ยืนตรง ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วสังเกตเต้านมทั้งสองข้างว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ท่ายกแขนนี้จะทำให้เห็นก้อนเนื้อที่ผิดปกติได้ง่ายขึ้น
ยืนเท้าสะเอว ใช้มือกดสะโพกแรงๆ พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้กล้ามเนื้ออกเกร็งและหดตัว จะได้เห็นความผิดปกติได้ชัด

ตรวจขณะนอน

ก่อนนอนคืนนี้ นอนสบายๆ แล้วเอาหมอนสอดใต้ไหล่ (จะตรวจหน้าอกข้างไหนก็ให้หนุนข้างนั้น) ถ้าตรวจหน้าอกข้างซ้ายก็หนุนที่ไหล่ซ้าย แล้วเอาแขนซ้ายสอดใต้ศีรษะไว้ก่อน เพื่อเต้านมข้างซ้ายจะได้แผ่ราบ ถ้ามีก้อนจะได้คลำพบได้ง่ายขึ้น จากนั้นค่อยๆ ใช้ 3 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง คลำให้ทั่วทั้งเต้านมและรักแร้ หรือลองบีบหัวนมดูด้วยก็ได้ว่ามีน้ำออกมาบ้างหรือเปล่า?

อาการนี้ที่ต้องระวัง

คลำพบก้อนที่เต้านมหรือใต้รักแร้ มีน้ำใสๆ ไหลออกจากหัวนม ผิวที่เต้านมจะมีลักษณะเปลือกส้ม เต้านมมีขนาดเปลี่ยนไป เช่น มีข้างใดข้างหนึ่งใหญ่ขึ้นผิดปกติ หรืออย่อนคล้อยกว่าอีกข้างจนเห็นได้ชัด หัวนมหดบุ๋มหายเข้าไปข้างในหรือเปลี่ยนรูปร่างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก มีผื่นแดง รอยแดง คัน หรือเจ็บปวดรอบหัวนม จับแล้วรู้สึกว่าเต้านมร้อน ถ้าตรวจพบอาการแบบนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่านิ่งนอนใจเด็ดขาดอย่าคิดว่าเดี๋ยวมันก็หายเอง ให้รีบไปพบคุณหมอโดยด่วน จะใช่หรือไม่ใช่ก็ให้คุณหมอเป็นคนวินิจฉัยเองดีกว่า ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป แต่ถ้าใช่ต้องรีบทำการรักษาโดยด่วน สำหรับผู้ที่ไม่พบอาการใดๆ ก็อย่านิ่งนอนใจว่าเราจะไม่มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เพราฉะนั้นต้องดูแลตัวเองตลอด

จะดูแลตัวเองอย่างไรดี?

- ตรวจเต้านมตัวเองเป็นประจำ เพราะ 90 % ของก้อนเนื้อที่เต้านมพบครั้งแรกด้วยตนเอง
- เช็คประวัติเจ็บป่วยในครอบครัว ถ้ามีพี่น้องสายตรง คือ แม่ ยาย พี่สาว น้องสาว ตัวเราเองมีโอกาสเป็นมาขึ้นอีก 40%
- ควบคุมน้ำหนัก ผู้หญิงอ้วนจะเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มอีก 2 เท่า
- เลือกอาหารที่กิน ลดอาหามัน อาหารทอด และเนื้อแดง จากการศึกษาของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาพบว่าอาหารที่มีไขมันสูงจะเพิ่มอัตราความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านมได้ และผู้หญิงในอเมริกาและทวีปยุโรปมีสถิติการป่วยเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงในเอเชีย ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากอาหารการกิน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ จะลดการเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมลงได้
- งดสูบบุหรี่

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน