Showing posts with label มะเร็งเต้านม. Show all posts
Showing posts with label มะเร็งเต้านม. Show all posts

แมมโมแกรม (mammogram)


เมื่อปลายเดือนที่แล้วรู้สึกเจ็บบริเวณเต้านมด้านขวา เจ็บแบบบอกไม่ถูกเจ็บแป๊บๆ ไม่ถึงขั้นเจ็บมากจนทนไม่ไหว แต่ก็ทำให้รู้สึกเครียดได้เหมือนกัน ลองคลำบริเวณเต้านมเพราะคิดมากกลัวว่าจะเป็นมะเร็งเต้านมหรือเปล่า ลองทำการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองแต่ก็ไม่พบก้อนผิดปกติ แต่ก็ยังไม่คลายความกังวลไปได้ ในที่สุดเลยตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจ แพทย์ตรวจแบบวิธีคลำหาก้อนเนื้อในเต้านมด้วยมือเปล่าก่อน แล้วนัดวันให้ไปทำแมมโมแกรมอีกทีวันที่ 25 เดือนนี้ เราก็เกิดความสงสัยไปอีกว่า แมมโมแกรมคืออะไร เวลาทำจะเจ็บหรือไม่ และจะมีผลข้างเคียงกับตัวเราอย่างไร ก็เลยทำการค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและเมื่อได้ข้อมูลแล้วก็อ่านจนเข้าใจ หากว่าใครมีอาการเหมือนเราแล้วอยากจะไปทำการตรวจแมมโมแกรมบ้าง ก็อ่านข้อมูลทำความเข้าใจก่อนได้นะคะ

แมมโมแกรมคืออะไร
แมมโมแกรมคือ การถ่ายเอกซเรย์เต้านมทั้ง 2 ข้าง โดยปกติจะทำกัน 2 ท่า คือ
1. ถ่ายเต้านมด้านตรง (Craniocaudal view - CC)
2. ถ่ายแนวเอียง (Mediolateral oblique - MLO)

ทำไมถึงต้องทำแมมโมแกรม
เพราะปัจจุบันนี้การเกิดของมะเร็งเต้านมในประเทศไทยพบสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของผู้หญิง แมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่าเป็นเครื่องมีอที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการตรวจพบหินปูนในเต้านม ซึ่งหินปูนบางชนิดจะพบได้ในมะเร็ง เต้านมระยะเริ่มแรกซึ่งไม่สามารถค้นพบจากการตรวจร่างกาย ก็จะสามารถตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือชนิดนี้
ควรทำแมมโมแกรมเมื่ออายุเท่าไหร่
การทำแมมโมแกรมจะทำในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หากผู้ที่มีญาติสายตรง (มารดา, พี่สาว, น้องสาว) เป็นมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว ควรเริ่มตรวจเมื่ออายุเท่ากับญาติสายตรงที่เป็นลบลงมาอีก 5 ปี

ควรทำแมมโมแกรมบ่อยแค่ไหน
1. สำหรับผู้หญิงทั่วไปที่ไม่มีอาการผิดปกติ ควรรับการตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี
2. กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ควรมาตรวจแมมโมแกรมทุก 1 ปี
- ผู้หญิงที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม (มารดา , พี่สาว , น้องสาว , บุตรสาว)
- ผู้ที่เคยรับการฉายแสงเพื่อรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นที่บริเวณหน้าอก
- ผู้ที่ได้รับยาฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว 1 ข้าง
- ผู้ที่ได้รับการเจาะตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบภาวะที่เรียกว่า Atypical ductal hyperplasia

กำลังมีประจำเดือนอยู่ทำแมมโมแกรมได้หรือไม่
ระยะของประจำเดือนจะไม่มีผลต่อภาพที่ได้จากแมมโมแกรมอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากอยู่ในช่วงที่ใกล้มีประจำเดือน หรือกำลังมีประจำเดือนอยู่ เต้านมจะมีการคัดตึงตามธรรมชาติ จะทำให้เจ็บเวลากดเต้านมขณะทำแมมโมแกรม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจเมมโมแกรมคือ 7-14 วันหลังมีประจำเดือน อย่างไรก็ตามท่านไม่ต้องกังวลถ้าวันนัดของท่านไม่ตรงกับช่วงเวลาดังกล่าว

การทำแมมโมแกรมเจ็บหรือไม่
ขั้นตอนการตรวจแมมโมแกรมจำเป็นต้องมีการกดเต้านม โดยมีจุดประสงค์หลัก เพื่อทำให้เนื้อเต้านมแผ่ออกไม่บังสิ่งผิดปกติถ้ามี นอกจากนี้ยังลดปริมาณรังสีที่เต้านมจะได้รับ แต่ท่านไม่ต้องกังวลว่าการตรวจจะเจ็บมาก เพราะจากการศึกษาของศูนย์ตรวจวินิจฉัยเต้านมโรงพยาบาลรามาธิบดี จากจำนวนผู้รับการตรวจ 765 ราย 23% บอกว่าไม่เจ็บเลย, 48% เจ็บเล็กน้อย 25% เจ็บปานกลาง มีเพียง 4 % ที่บอกว่าเจ็บมาก

การทำแมมโมแกรมจะได้รับรังสีมากไหม
ปริมาณรังสีที่จะได้รับจากการทำแมมโมแกรมนั้นถือได้ว่าน้อยมากๆ และไม่มีรายงานว่าทำให้เกิดอันตรายในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามก่อนการตรวจท่านควรแน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทารกได้รับรังสีโดยไม่จำเป็น
การทำแมมโมแกรมเชื่อถือได้ 100% หรือไม่ว่าจะไม่พบมะเร็ง
แมมโมแกรมมีข้อจำกัดกับการมีภาวะบางประการเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ ความหนาแน่นของเนื้อเต้านม เต้านมคนเรามีส่วนประกอบหลักๆ คือ ส่วนที่เป็นเนื้อของเต้านม (รวมท่อน้ำนม , ต่อมน้ำนม , เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน) และส่วนที่เป็นไขมัน ในรายที่เนื้อเต้านมหนาแน่นมาก เช่น อายุน้อย เนื้อเต้านมมีโอกาสบังสิ่งผิดปกติทำให้ตรวจไม่พบ นี่ก็ถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ทำแมมโมแกรม ในผู้หญิงอายุน้อยที่ไม่มีอาการผิดปกติของเต้านม

แล้วนอกจากนี้มะเร็งระยะเริ่มต้นบางกรณี อาจตรวจพบได้ยาก หรือไม่สามารถแยกจากความผิดปกติที่ไม่ใช่มะเร็งได้ โดยรวมแมมโมแกรม อาจให้ผลปกติแม้มีมะเร็งเต้านมอยู่ โดยมีโอกาสพบกรณีเช่นนี้ได้เพียงแค่ประมาณ 10% เท่านั้น ดังนั้นที่ศูนย์ตรวจวินิจฉัยเต้านม จึงนำอัลตราซาวด์มาใช้เสริมกับแมมโมแกรม เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจมากยิ่งขึ้น

การตรวจคัดกรอง (Screening) มะเร็งเต้านม ทำได้กี่วิธี
1. การตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน
2. การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการอบรมทุก 6 เดือน-1 ปี
3. การตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี



ข้อมูลจาก www.yourhealthyguide.com

ชาเขียวเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ


ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่หลายคนนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบดื่มร้อนๆ หรือดื่มเย็นๆ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ซึ้งถึงประโยชน์ที่แท้จริงของชาเขียว เราลองมาทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของชาเขียว และการบริโภคชาเขียวที่ถูกต้องเพื่อสุขภาพของเรากันดีกว่าค่ะ

ชาเขียวควรดื่มมากเท่าไรถึงจะพอ
คนที่ดื่มชาเขียว 10 แก้วต่อวัน พบว่าจะปลอดจากโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวันถึง 3 ปี (ในชาเขียวมี Polyphenol ประมาณ 240-320 มก. ในชาเขียว 3 แก้ว)
ขณะเดียวกันการดื่มชาเขียว 4 แก้วหรือมากกว่านั้นจะช่วยป้องกันโรคปวดข้อ หรือลดอาการปวดในกรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้ว อีกทั้งยังพบว่าการเกิดโรคมะเร็งเต้านม หรือการขยายตัวของโรคนั้นจะน้อยลงในผู้หญิงที่มีประวัติดื่มชาเขียว 5 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อ 1 วัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเรื่องคุณสมบัติการป้องกันมะเร็งของชาเขียว พบว่าคุณสามารถได้รับปริมาณ Polyphenol ในปริมาณที่ต้องการได้โดยดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน

ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง

มะเร็งเต้านมเกิดจากเนื้อเยื่อของเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งซึ่งอาจจะเกิดเป็นมะเร็งเต้านมที่เกิดกับท่อน้ำนม หรือมะเร็งเต้านมที่เกิดกับต่อมน้ำนม มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อย ดังนั้นท่านผู้อ่านที่เป็นหญิงควรจะตรวจเต้านมตัวเอง

เต้านม...ตรวจเองก็ได้

เพื่อความไม่ประมาท ผู้หญิงทุกคนที่มีเต้านมเป็นของตัวเอง รีบลงมือตรวจโดยด่วน! เลือกเวลาเหมาะๆ ช่วงหลังจากมีรอบเดือนสัก 7-10 วัน จะได้ไม่เจ็บหน้าอกมากนักเวลาที่คลำเต้านม

ตรวจขณะอาบน้ำ

เวลาส่วนตั๊ว...ส่วนตัวแบบนี้ อาบน้ำนวดตัวแล้ว อย่าลืมหน้าอกเราล่ะ ค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วคลึงเบาๆ ทั่วเต้านม ดูว่ามีก้อนเนื้อแข็งหรือเป็นไตบ้างหรือเปล่า ช่วงที่อาบน้ำจะคลำได้ง่ายเพราะว่าผิวจะลื่น ง่ายต่อการคลำ

ยืนตรวจหน้ากระจก

ยืนตรง ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วสังเกตเต้านมทั้งสองข้างว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ท่ายกแขนนี้จะทำให้เห็นก้อนเนื้อที่ผิดปกติได้ง่ายขึ้น
ยืนเท้าสะเอว ใช้มือกดสะโพกแรงๆ พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้กล้ามเนื้ออกเกร็งและหดตัว จะได้เห็นความผิดปกติได้ชัด

ตรวจขณะนอน

ก่อนนอนคืนนี้ นอนสบายๆ แล้วเอาหมอนสอดใต้ไหล่ (จะตรวจหน้าอกข้างไหนก็ให้หนุนข้างนั้น) ถ้าตรวจหน้าอกข้างซ้ายก็หนุนที่ไหล่ซ้าย แล้วเอาแขนซ้ายสอดใต้ศีรษะไว้ก่อน เพื่อเต้านมข้างซ้ายจะได้แผ่ราบ ถ้ามีก้อนจะได้คลำพบได้ง่ายขึ้น จากนั้นค่อยๆ ใช้ 3 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง คลำให้ทั่วทั้งเต้านมและรักแร้ หรือลองบีบหัวนมดูด้วยก็ได้ว่ามีน้ำออกมาบ้างหรือเปล่า?

อาการนี้ที่ต้องระวัง

คลำพบก้อนที่เต้านมหรือใต้รักแร้ มีน้ำใสๆ ไหลออกจากหัวนม ผิวที่เต้านมจะมีลักษณะเปลือกส้ม เต้านมมีขนาดเปลี่ยนไป เช่น มีข้างใดข้างหนึ่งใหญ่ขึ้นผิดปกติ หรืออย่อนคล้อยกว่าอีกข้างจนเห็นได้ชัด หัวนมหดบุ๋มหายเข้าไปข้างในหรือเปลี่ยนรูปร่างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก มีผื่นแดง รอยแดง คัน หรือเจ็บปวดรอบหัวนม จับแล้วรู้สึกว่าเต้านมร้อน ถ้าตรวจพบอาการแบบนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่านิ่งนอนใจเด็ดขาดอย่าคิดว่าเดี๋ยวมันก็หายเอง ให้รีบไปพบคุณหมอโดยด่วน จะใช่หรือไม่ใช่ก็ให้คุณหมอเป็นคนวินิจฉัยเองดีกว่า ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป แต่ถ้าใช่ต้องรีบทำการรักษาโดยด่วน สำหรับผู้ที่ไม่พบอาการใดๆ ก็อย่านิ่งนอนใจว่าเราจะไม่มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เพราฉะนั้นต้องดูแลตัวเองตลอด

จะดูแลตัวเองอย่างไรดี?

- ตรวจเต้านมตัวเองเป็นประจำ เพราะ 90 % ของก้อนเนื้อที่เต้านมพบครั้งแรกด้วยตนเอง
- เช็คประวัติเจ็บป่วยในครอบครัว ถ้ามีพี่น้องสายตรง คือ แม่ ยาย พี่สาว น้องสาว ตัวเราเองมีโอกาสเป็นมาขึ้นอีก 40%
- ควบคุมน้ำหนัก ผู้หญิงอ้วนจะเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มอีก 2 เท่า
- เลือกอาหารที่กิน ลดอาหามัน อาหารทอด และเนื้อแดง จากการศึกษาของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาพบว่าอาหารที่มีไขมันสูงจะเพิ่มอัตราความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านมได้ และผู้หญิงในอเมริกาและทวีปยุโรปมีสถิติการป่วยเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงในเอเชีย ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากอาหารการกิน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ จะลดการเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมลงได้
- งดสูบบุหรี่

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน