ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไรในวิกฤตการณ์น้ำท่วม


อุทกภัยที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองเราในขณะนี้ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนั้นเราควรรู้เท่าทันและป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นได้ ภัยที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม คือ อันตรายจากกระแสไฟฟ้า ดังนั้นควรสำรวจสายไฟฟ้า ปลั๊กไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งในระดับต่ำ ต้องรีบทำการขนย้ายให้สูงพ้นระดับน้ำ หากว่าน้ำได้ท่วมถึงระดับปลั๊กไฟแล้ว ให้รีบปลดคัทเอาท์โดยทันที ให้ตรวจสอบสายไฟที่แช่น้ำ เพราะอาจจะมีกระแสไฟฟ้ารั่วได้ หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้เสาเหล็กที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้า ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าทำการเคลื่อนย้ายไม่ทันเพราะถูกน้ำท่วมแล้ว ควรหยุดใช้งานจนกว่าจะได้รับการตรวจสอบสภาพโดยช่างผู้ชำนาญเสียก่อน

ตรวจสอบสวิตซ์ไฟฟ้าว่ามีน้ำเข้าหรือถูกฝนสาดหรือไม่ เพราะการกดกริ่งที่เปียกชื้น ขณะเท้าแช่น้ำอยู่ อาจถูกกระแสไฟฟ้าดูดได้มากกว่าปกติ ถ้าเปียกน้ำอย่าแตะต้องอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ และเมื่อพบคนถูกไฟฟ้าช็อต จะต้องสับสะพานไฟลง (สับคัดเอาท์ลง) เพื่อตัดกระแสไฟฟ้าก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่หากไม่สามารถสับสะพานไฟลงได้ ห้ามใช้มือไปจับต้องคนที่กำลังถูกไฟช็อต ให้ใช้สิ่งที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น ไม้กวาด ไม้ (ที่ไม่เปียกน้ำ) เขี่ยสายไฟออกจากตัวผู้ถูกไฟฟ้าช็อต และเมื่อผู้บาดเจ็บหลุดออกมาแล้ว รีบปฐมพยาบาล ถ้าหยุดหายใจ ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจ หากคลำชีพจรไม่ได้ ให้นวดหัวใจแล้วรีบส่งโรงพยาบาลทันที หรือต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์นเรนทร ให้โทรสายด่วน 1669 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางศูนย์นเรนทรมีหน่วยกู้ชีพและช่วยเหลือกรณีเจ็บป่วยและอุบัติเหตุฉุกเฉินที่เป็นเครือข่าย จะให้บริการอย่างทันท่วงที

เมื่อเกิดน้ำท่วม สัตว์ต่างๆ รวมทั้งสัตว์ร้ายและแมลงมีพิษ ต่างก็หนีน้ำ เช่น งู ตะขาบ แมลงป่อง อาจจะเข้ามาหลบมาอาศัยอยู่ในบ้านหรือบริเวณบ้าน จึงต้องระมัดระวังป้องกันอย่างดีและหากถูกแมลงหรือสัตว์มีพิษกัดต่อยควรทำการปฐมพยาบาลอย่างถูกต้อง ถูกแมลงกัดต่อย ให้พยายามถอนเหล็กไนออกโดยทันที หาหลอดกาแฟแข็งหรือปากกาครอบ แล้วกดลงไปให้เหล็กไนโผล่แล้วดึงเหล็กไนออก แล้วใช้ยาแก้แพ้ทา หรือราดด้วยน้ำโซดา หรือประคบด้วยน้ำแข็ง ซึ่งปกติอาการบวมจะลดลงภายใน 1 วัน ถ้ามีอาการปวดร่วมด้วยให้กินยาแก้ปวด (พาราเซตามอล) แต่ถ้ามีอาการแพ้มาก เช่น บวมมากและอาการบวมไม่ลดลงใน 1 วัน ให้รีบไปพบแพทย์

หากถูกงูกัด ให้สังเกตดูรอยแผล ถ้าเป็นงูพิษจะมีรอยเขี้ยว ให้ผู้ป่วยนอนลง โดยให้ส่วนขา แขน ที่ถูกกัดห้อยลงต่ำกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ใช้ผ้า เชือก หรือสายยางรัดเหนือแผลให้แน่น คลายผ้าที่รัดเป็นระยะๆ ทุก 15 นาที เพื่อให้เลือดไหลเวียนบ้าง ถ้ามีเลือดออกที่แผลไม่มากก็อย่าไปห้ามเลือด เพราะเลือดจะช่วยนำพิษออกจากร่างกาย ถ้าเลือดออกน้อย อาจบีบนวดให้เลือดออกบ้าง ล้างแผลด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาด่างทับทิมแก่ๆ ห้ามให้ผู้ถูกงูกัดดื่มสุรา ยาดองเหล้าหรือยากล่อมประสาท ถ้าหยุดหายใจให้ช่วยหายใจทันที และถ้ารู้ว่าเป็นงูพิษกัด หรือไม่แน่ใจว่าเป็นงูอะไรกัด ให้ไปพบแพทย์ และถ้าจับงูได้ควรนำงูไปให้แพทย์ดูด้วย

การป้องกันโรคน้ำกัดเท้า ควรหลีกเลี่ยงการเดินย่ำน้ำสกปรกมาก ๆ แต่หากหลีกหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมใส่รองเท้าบูทกันน้ำ หลังจากเดินย่ำน้ำทุกครั้ง ต้องล้างเท้าให้สะอาด และใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะตามซอกนิ้วเท้า หากมีแผล ให้ใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น ทิงเจอร์ เบตาดีน เป็นต้น

ปัญหาสุขภาพในช่วงที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมเช่นนี้ หากเราพอจะรู้ว่าอาจเกิดอะไรขึ้น แล้วได้มีการเตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้า และมีการระมัดระวังตัวกันอยู่เสมอ ก็จะทำให้ตัวเราปลอดภัยจากอุบัติเหตุ และโรคภัยไข้เจ็บที่อาจจะเกิดตามมา แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเราควรติดตามรับฟังข่าวสารการพยากรณ์สภาพดินฟ้าอากาศและสถาณการณ์น้ำจากทางสื่อและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็จะสามารถที่จะช่วยให้เราได้มีการเตรียมพร้อมรับกับสถาณการณ์ได้อย่างทันท่วงที

รักษาโรคด้วยกระเทียม


หมอพื้นบ้านของไทยได้นำกระเทียมสดมารักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน แล้วยังนำมารักษาโรคบิด ป่วง แก้ไอ และกระจายโลหิต ทำให้สรุปได้ว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเด่นอยู่ 2 ประการ คือ ใช้ทารักษาโรคผิวหนัง และรับประทานแก้โรคความดันโลหิตสูง

จากการศึกษาคุณสมบัติของกระเทียมทางเภสัชวิทยาได้พบว่า กระเทียมนั้นมีสรรพคุณที่เป็นยารักษาโรคได้อีกหลายโรค แต่การที่จะนำกระเทียมมาใช้ประโยชน์ให้ได้ผลอย่างจริงจังนั้น ยังคงจะต้องมีการศึกษาผลทางคลินิกวิทยาอย่างถ่องแท้เสียก่อน

สรรพคุณทางยาของกระเทียม มีดังนี้

1. ฆ่าเชื้อราบนผิวหนังประเภท กลาก เกลื้อน และเชื้อราที่เกิดตามเล็บ หนังศีรษะ
2. ฆ่าเชื้อยีสต์ชนิดที่ทำให้เกิดลิ้นขาวเป็นฝ้าในเด็กทารกแรกเกิด และทำให้เกิดโรคมุตกิดระดูขาวที่มักจะเกิดในหญิงที่ตั้งครรภ์ ในผู้ที่กินยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ
3. ช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดไขมันและคอเลสเตอรอล
4. ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
5. ลดน้ำตาลในเลือด
6. ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแทบทุกชนิด กล่าวคือ มีสารอัลลิซิน ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่มักทำให้เกิดโรคได้ถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะช่วยยับยั้งเชื้อพวกที่ดื้อยาเพนนิซิลินได้ดีกว่าเชื้อพวกที่ไม่ดื้อยา อีกด้วย นอกจากนี้ ยังฆ่าเชื้อบิดมีตัวที่มีพิษต่อลำไส้ได้ดี โดยมีสารที่สำคัญคือกาลิซิน รวมทั้งสามารถยับยั้งเชื้อบิดเทียม ซึ่งไม่รบกวนแบคทีเรียตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อลำไส้
7. ยับยั้งเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง และใช้รักษาแผลสด แผลที่เป็นหนอง คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เชื้อวัณโรค และเชื้อปอดบวม
8. รักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
9. เป็นยาขับเสมหะและมีฤทธิ์ขับเหงื่อและขับปัสสาวะ
10. รักษาโรคไอกรน
11. แก้หืดและโรคหลอดลม
12. แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย
13. ควบคุมโรคกระเพาะ คือมีสารเอเอส 1 ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ และยังช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้ด้วย
14. ขับพยาธิต่างๆ ได้หลายชนิด ได้แก่ พยาธิเข็มหมุด พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย และมีรายงานทดสอบจากอินเดียว่า กระเทียมมีสารไดอัลลิลไดซัลไฟด์ มีฤทธิ์ใช้ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ดี
15. แก้เคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารอัลลิซินเป็นตัวช่วยทำให้เลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่ทาถูนวดยาได้ดีมากขึ้น
16. แก้อาการปวดข้อและปวดเมื่อย
17. ต่อต้านการเกิดเนื้องอก
18. กำจัดพิษสารตะกั่ว
19. ช่วยบำรุงร่างกาย ในประเทศญี่ปุ่นได้ค้นพบว่าสารในกระเทียมชื่อสคอร์ดินิน ไม่มีกลิ่น แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตและช่วยลดไขมันในร่างกาย

นอกจากนี้ยังมีผู้ค้นพบว่าในกระเทียมมีธาตุเจอร์เมเนียมค่อนข้างสูง ซึ่งธาตุตัวนี้มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหืด โรคไต โรคตับอ่อน และอาการท้องผูก รวมไปถึงมีสารชักนำวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นเท่าตัว โดยรวมเป็นสารอัลลิลไทอะมิน ทำให้วิตามินบี 1 ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นถึง 20 เท่าเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด

มาทำความรู้จักกับโรคภูมิแพ้กันดีกว่า


โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้ (Allergen) ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่นๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออกหลังจากได้รับ "สิ่งกระตุ้น" มานานเพียงพอ อย่างไรก็ตามบางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้ โรคภูมิแพ้นั้นมิใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ มาสู่ลูกหลานได้ อาจพบว่าในครอบครัวนั้นมีสมาชิกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หลายคน ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก หรือโดยการฉีดหรือถูกกัดต่อยผ่านผิวหนัง ตัวการที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้มีอยู่รอบตัว สามารถกระตุ้นอวัยวะต่างๆ จนก่อให้เกิดอาการแพ้ได้

อวัยวะที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้
ทางลมหายใจ ถ้าสิ่งกระตุ้นผ่านเข้ามาทางลมหายใจ ตั้งแต่รูจมูกลงไปยังปอด ก็จะทำให้เป็นหวัด คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล คันคอ เจ็บคอ ไอ มีเสมหะ เสียงแหบแห้ง และลงไปยังหลอดลม ทำให้หลอดลมตีบตัน เป็นหอบหืด
ทางผิวหนัง ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางผิวหนัง จะทำให้เกิดผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย
ทางอาหาร ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางอาหาร จะทำให้ท้องเสีย อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด เสียไข่ขาวในเลือด อาจทำให้เกิดอาการทางระบบอื่นๆ ได้ เช่น ลมพิษ หน้าตาบวม
ทางตา ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางตา จะทำให้เกิดอาการแสบตา คันตา หนังตาบวม น้ำตาไหล

สารก่อภูมิแพ้ที่พบทั่วๆ ไป
สารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็น "ตัวการ" ของโรคภูมิแพ้ ที่มักพบบ่อยๆ ได้แก่
1. ฝุ่นบ้าน ตัวไรฝุ่นบ้าน มักปะปนอยู่ในฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม. มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
2. เชื้อรา มักปะปนอยู่ในบรรยากาศ ตามห้องที่มีลักษณะอับชื้น
3. อาหารบางประเภท อาหารบางอย่างจะเป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวก
- อาหารทะเล เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา อาหารอีกจำพวกที่พบได้บ่อยคือ แมงดาทะเล ปลาหมึก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันได้บ่อยๆ เด็กบางคนอาจแพ้ไข่แมงดาทะเลอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้มีอาการบวมตามตัว หายใจไม่ออกเป็นต้น
- อาหารประเภทหมักดอง เช่น ผักกาดดอง เต้าเจี้ยว น้ำปลา เป็นต้น เด็กบางคนอาจแพ้เห็ดซึ่งจัดว่าเป็นราขนาดใหญ่ เด็กบางคนแพ้ไข่ขาว อาจทำให้เกิดอาการผื่นคันบนใบหน้าได้ บางคนอาจจะแพ้ผลไม้จำพวกที่มีรสเปรี้ยวจัด กลิ่นฉุนจัด เช่น ทุเรียน ลำใจ สตรอเบอรี่ กล้วยหอม และอื่นๆ
4. ยาแก้อักเสบ ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อยๆ นั้นได้แก่ ยาปฎิชีวนะ พวกเพนนิซฺลิน เตตราไวคลิน นอกจากนั้นยังมีพวกซัลฟา ยาลดไข้แก้ปวดพวกแอสไพริน ไดไพโรน ยาระงับปวดข้อปวดกระดูก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันจองผิวหน้า พวกเซรุ่มหรือวัคซีนเป็นกันโรคโดยเฉพาะวัคซีนสกัดจากเลือดม้า เช่น เซรุ่มต้านพิษงู แพ้พิษสุนัขบ้า เป็นต้น
5. แมลงต่างๆ แมลงที่มักอาศัยอยู่ภายในบ้าน เช่น แมลงสาบ แมงมุม มด ยุง ปลวก และแมลงที่อาศัยอยู่นอกบ้าน เช่น ผึ้ง แตน ต่อ มดนานาชนิด เป็นต้น
6. เกสรดอกหญ้า ดอกไม้ ตอกข้าว วัชพืช สิ่งเหล่านี้มักปลิวอยู่ในอากาศตามกระแสลม ซึ่งสามารถพัดลอยไปได้ไกลๆ หรืออาจเป็นลักษณะขุยๆ ติดตามมุ้งลวดหน้าต่าง เกสรดอกหญ้าที่ปลิวมาตามสายลม
7. ขนสัตว์ ขนของสัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ เช่น ขนแมว ขนสุนัข ขนนก ขนเป็ด ขนไก่ ขนกระต่าง ขนนกหรือขนเป็ด ขนไก่ที่ตากแห้งใช้ยัดที่นอนและหมอน สำหรับนุ่น ฟองน้ำ ยางพารา ใยมะพร้าว เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานก็จะสามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกัน

วิธีรักษาโรคภูมิแพ้
- หาต้นเหตุและหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ทีดีที่สุดคือการค้นหาสาเหตุของการแพ้นั้นให้พบ เช่น การสอบถามประวัติและอาการของโรค พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว เช่น บ้าน รถยนต์ โรงเรียน สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก ตรวจร่างกายและทดสอบทางผิวหนัง เมื่อทราบว่าแพ้สารใดแล้ว ควรหลีกเลี่ยงสารที่ให้เกิดภูมิแพ้ที่ถูกต้องและอาการของโรคภูมิแพ้ก็จะทุเลา ในทางปฏิบัตินั้นการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้นทำได้ยาก เพราะชีวิตประจำวันนั้นต้องเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้กระจายอยู่รอบๆ ตัว เช่นฝุ่นบ้าน ไรฝุ่น เชื้อรา และอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้การรักษาอาการของโรคอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นและได้มักจะได้ผลดี แพทย์อาจให้รับประทานยาแพ้แพ้ แก้หอบ แก้ไอร่วมด้วย เป็นต้น
- ฉีดวัคซีนให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทาน
มีวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้อีกประการหนึ่งที่เป็นการรักษาได้ผลดีพอสมควร ได้แก่การหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ให้พบแล้วนำสารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจพบนี้นำมาผลิตวัคซีนให้ผู้ป่วย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารที่แพ้ (อิมมูโนบำบัด) คือ รักษาให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานสารที่แพ้ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การรักษาเพื่อ ลดภูมิไว คือให้ร่างกายลดความไวต่อสารที่ก่อให้เกิดโรค

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://health.phahol.go.th

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ


การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infecton) เป็นภาวะติดเชื้อจาก microorganism ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ โดยตรวจพบแบคทีเรียในปัสสาวะ การติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นการย้อนของเชื้อจากส่วนล่างขึ้นไป (ascending infection) คือเชื้อเข้าทางท่อปัสสาวะแล้วลุกลามต่อมาในกระเพาะปัสสาวะหรือไต โดยพบว่าเพศหญิงมีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่าเพศชายโดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์มีโอกาสเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้บ่อย เนื่องจาก urethra ของผู้หญิงสั้นกว่าผู้ชาย จึงทำให้ส่วนปลายของ urethra ถูกปนเปื้อนได้ง่ายจากเชื้อในอุจจาระ หรือจากช่องคลอดระหว่างที่มีเพศสัมพันธุ์ อีกทั้งน้ำเมือกที่หลั่งจากต่อมลูกหมากยังมีฤทธิ์เป็น antibacterial อีกด้วย

อาการของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
อาการขึ้นกับว่าติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะระดับไหน ถ้าติดเชื้อแค่ในกระเพาะปัสสาวะ อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด ขุ่น ปัสสาวะบ่อยขึ้น แต่ถ้าติดเชื้อที่กรวยไต จะมีไข้ ปวดหลังร่วมด้วย ซึ่งต้องรับการรักษาด้วยยาฉีดปฏิชีวนะในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามผู้ป่วยสูงอายุจำนวนมาก อาจมีอาการที่ไม่จำเพาะกับการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เช่น ซึม สับสน เบื่ออาหาร กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นต้น

วิธีปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ
- การทำความสะอาดหลังการขับถ่าย ควรเช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ใน
อุจจาระ เป็นตัวก่อโรคที่สำคัญของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ดื่มน้ำมากๆและปัสสาวะให้เป็นเวลา ควรปัสสาวะทุก 3-4 ชั่วโมง และก่อนนอน ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ
เพราะปัสสาวะที่ค้างนานๆ ในกระเพาะปัสสาวะ จะเป็นอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรีย
- หลีกเลี่ยงท้องผูก ฝึกการถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน
- หลีกเลี่ยงการระคายเคืองที่เกิดขึ้นบริเวณท่อปัสสาวะ เช่น การใส่กางเกงที่รัดมากๆ การใส่สบู่เหลวลงไป
ในอ่างอาบน้ำ เป็นต้น
- การดื่มน้ำผลไม้แครนเบอรี่ (Cranberry juice) จะสามารถลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.ram-hosp.co.th และ http://cyberclass.msu.ac.th

สรรพคุณลำไยอบแห้ง


การแพทย์แผนโบราณของจีน นิยมใช้ลำไยอบแห้งมาเป็นส่วนผสมในตัวยา มีสรรพคุณใช้บำรุงเลือด บำรุงร่างกาย บำรุงม้าม บำรุงกำลัง บำรุงประสาทตา บำรุงผิวพรรณ ช่วยย่อยอาหารช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยบำรุงกำลังของสตรีภายหลังจากการคลอดบุตร นอกจากนี้ลำไยอบแห้งยังช่วยบำรุงประสาท ในคนที่เป็นโรคประสาทอ่อน ๆ นอนไมหลับ ใจสั่น เมื่อได้ทานลำไยอบแห้งไปแล้วจะช่วยให้หลับสบาย ช่วยระงับประสาทที่อ่อนเพลียจากการตรากตรำทำงานหนัก ขี้หลง ขี้ลืม ช่วยให้ความจำดี ช่วยลดความเครียด ชาวจีนโบราณนิยมกินเนื้อลำไยอบแห้งเป็นของขบเคี้ยว หรือนำไปต้มเป็นน้ำลำไยดื่มอุ่นๆ บ้างก็เอามาปรุงเป็นอาหาร จะหั่นฝอยผัดกับข้าวก็ได้ หรือจะเอามาต้มน้ำแกงก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพเช่นกัน

ผลการวิจัยในประเทศไทย พบว่าในลำไยแห้งมีฤทธิ์ยับยั้งสารก่อมะเร็ง ช่วยลดอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดขาว และในอนาคตอาจนำมาใช้ร่วมกับการรักษาโรคมะเร็งเพราะจะให้ได้ผลที่ข้างเคียงน้อยลงหรือไม่มีเลย ทำให้ลดขนาดการใช้ยาหรือเคมีบำบัดลง ทั้งยังยืนยันสรรพคุณประโยชน์ของลำไยว่ามีสารออกฤทธิ์เหนี่ยวนำเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวให้ตาย สารที่ยับยั้งความเป็นพิษของสารก่อมะเร็งทางเดินอาหาร สารที่ออกฤทธิ์ลดการเสื่อมสลายของข้อเข่า ผลการวิจัยล่าสุดได้พบว่าลำไยแห้งสามารถออกฤทธิ์ทำลาย และต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน ได้ดีกว่าสารเคมีที่ใช้ในเครื่องสำอางปัจจุบัน

แมมโมแกรม (mammogram)


เมื่อปลายเดือนที่แล้วรู้สึกเจ็บบริเวณเต้านมด้านขวา เจ็บแบบบอกไม่ถูกเจ็บแป๊บๆ ไม่ถึงขั้นเจ็บมากจนทนไม่ไหว แต่ก็ทำให้รู้สึกเครียดได้เหมือนกัน ลองคลำบริเวณเต้านมเพราะคิดมากกลัวว่าจะเป็นมะเร็งเต้านมหรือเปล่า ลองทำการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองแต่ก็ไม่พบก้อนผิดปกติ แต่ก็ยังไม่คลายความกังวลไปได้ ในที่สุดเลยตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจ แพทย์ตรวจแบบวิธีคลำหาก้อนเนื้อในเต้านมด้วยมือเปล่าก่อน แล้วนัดวันให้ไปทำแมมโมแกรมอีกทีวันที่ 25 เดือนนี้ เราก็เกิดความสงสัยไปอีกว่า แมมโมแกรมคืออะไร เวลาทำจะเจ็บหรือไม่ และจะมีผลข้างเคียงกับตัวเราอย่างไร ก็เลยทำการค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและเมื่อได้ข้อมูลแล้วก็อ่านจนเข้าใจ หากว่าใครมีอาการเหมือนเราแล้วอยากจะไปทำการตรวจแมมโมแกรมบ้าง ก็อ่านข้อมูลทำความเข้าใจก่อนได้นะคะ

แมมโมแกรมคืออะไร
แมมโมแกรมคือ การถ่ายเอกซเรย์เต้านมทั้ง 2 ข้าง โดยปกติจะทำกัน 2 ท่า คือ
1. ถ่ายเต้านมด้านตรง (Craniocaudal view - CC)
2. ถ่ายแนวเอียง (Mediolateral oblique - MLO)

ทำไมถึงต้องทำแมมโมแกรม
เพราะปัจจุบันนี้การเกิดของมะเร็งเต้านมในประเทศไทยพบสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของผู้หญิง แมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่าเป็นเครื่องมีอที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการตรวจพบหินปูนในเต้านม ซึ่งหินปูนบางชนิดจะพบได้ในมะเร็ง เต้านมระยะเริ่มแรกซึ่งไม่สามารถค้นพบจากการตรวจร่างกาย ก็จะสามารถตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือชนิดนี้
ควรทำแมมโมแกรมเมื่ออายุเท่าไหร่
การทำแมมโมแกรมจะทำในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หากผู้ที่มีญาติสายตรง (มารดา, พี่สาว, น้องสาว) เป็นมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว ควรเริ่มตรวจเมื่ออายุเท่ากับญาติสายตรงที่เป็นลบลงมาอีก 5 ปี

ควรทำแมมโมแกรมบ่อยแค่ไหน
1. สำหรับผู้หญิงทั่วไปที่ไม่มีอาการผิดปกติ ควรรับการตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี
2. กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ควรมาตรวจแมมโมแกรมทุก 1 ปี
- ผู้หญิงที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม (มารดา , พี่สาว , น้องสาว , บุตรสาว)
- ผู้ที่เคยรับการฉายแสงเพื่อรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นที่บริเวณหน้าอก
- ผู้ที่ได้รับยาฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว 1 ข้าง
- ผู้ที่ได้รับการเจาะตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบภาวะที่เรียกว่า Atypical ductal hyperplasia

กำลังมีประจำเดือนอยู่ทำแมมโมแกรมได้หรือไม่
ระยะของประจำเดือนจะไม่มีผลต่อภาพที่ได้จากแมมโมแกรมอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากอยู่ในช่วงที่ใกล้มีประจำเดือน หรือกำลังมีประจำเดือนอยู่ เต้านมจะมีการคัดตึงตามธรรมชาติ จะทำให้เจ็บเวลากดเต้านมขณะทำแมมโมแกรม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจเมมโมแกรมคือ 7-14 วันหลังมีประจำเดือน อย่างไรก็ตามท่านไม่ต้องกังวลถ้าวันนัดของท่านไม่ตรงกับช่วงเวลาดังกล่าว

การทำแมมโมแกรมเจ็บหรือไม่
ขั้นตอนการตรวจแมมโมแกรมจำเป็นต้องมีการกดเต้านม โดยมีจุดประสงค์หลัก เพื่อทำให้เนื้อเต้านมแผ่ออกไม่บังสิ่งผิดปกติถ้ามี นอกจากนี้ยังลดปริมาณรังสีที่เต้านมจะได้รับ แต่ท่านไม่ต้องกังวลว่าการตรวจจะเจ็บมาก เพราะจากการศึกษาของศูนย์ตรวจวินิจฉัยเต้านมโรงพยาบาลรามาธิบดี จากจำนวนผู้รับการตรวจ 765 ราย 23% บอกว่าไม่เจ็บเลย, 48% เจ็บเล็กน้อย 25% เจ็บปานกลาง มีเพียง 4 % ที่บอกว่าเจ็บมาก

การทำแมมโมแกรมจะได้รับรังสีมากไหม
ปริมาณรังสีที่จะได้รับจากการทำแมมโมแกรมนั้นถือได้ว่าน้อยมากๆ และไม่มีรายงานว่าทำให้เกิดอันตรายในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามก่อนการตรวจท่านควรแน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทารกได้รับรังสีโดยไม่จำเป็น
การทำแมมโมแกรมเชื่อถือได้ 100% หรือไม่ว่าจะไม่พบมะเร็ง
แมมโมแกรมมีข้อจำกัดกับการมีภาวะบางประการเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ ความหนาแน่นของเนื้อเต้านม เต้านมคนเรามีส่วนประกอบหลักๆ คือ ส่วนที่เป็นเนื้อของเต้านม (รวมท่อน้ำนม , ต่อมน้ำนม , เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน) และส่วนที่เป็นไขมัน ในรายที่เนื้อเต้านมหนาแน่นมาก เช่น อายุน้อย เนื้อเต้านมมีโอกาสบังสิ่งผิดปกติทำให้ตรวจไม่พบ นี่ก็ถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ทำแมมโมแกรม ในผู้หญิงอายุน้อยที่ไม่มีอาการผิดปกติของเต้านม

แล้วนอกจากนี้มะเร็งระยะเริ่มต้นบางกรณี อาจตรวจพบได้ยาก หรือไม่สามารถแยกจากความผิดปกติที่ไม่ใช่มะเร็งได้ โดยรวมแมมโมแกรม อาจให้ผลปกติแม้มีมะเร็งเต้านมอยู่ โดยมีโอกาสพบกรณีเช่นนี้ได้เพียงแค่ประมาณ 10% เท่านั้น ดังนั้นที่ศูนย์ตรวจวินิจฉัยเต้านม จึงนำอัลตราซาวด์มาใช้เสริมกับแมมโมแกรม เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจมากยิ่งขึ้น

การตรวจคัดกรอง (Screening) มะเร็งเต้านม ทำได้กี่วิธี
1. การตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน
2. การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการอบรมทุก 6 เดือน-1 ปี
3. การตรวจแมมโมแกรมทุก 1-2 ปี



ข้อมูลจาก www.yourhealthyguide.com

โรคมะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer)


สำหรับผู้หญิงที่มักจะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด กินอะไรเข้าไปแล้วก็อิ่มง่าย จุกเสียด ปัสสาวะบ่อย ๆ ก็อย่าวางใจ นอกจากอาการเหล่านี้แล้วก็อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก เบื่ออาหาร และอาจมีเลือดออกในช่องคลอดร่วมด้วย คุณรู้หรือไม่ว่าคุณอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งรังไข่ได้ โดยทั่วไปแล้วโรคมะเร็งทุกชนิดจะเหมือนกันคือยิ่งทำการตรวจพบเร็ว การรักษาก็จะได้ผลดี สำหรับโรคมะเร็งรังไข่ก็เช่นกันมักจะวินิจฉัยได้ช้า เนื่องจากอยู่ภายในช่องท้อง และมักจะไม่มีอาการในช่วงระยะแรกของโรค แต่หากค้นพบแรกเริ่มจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากมีคนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคมะเร็งรังไข่มาก่อน ควรรีบไปทำการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งทุกปี เพราะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคดังกล่าวได้

สาเหตุโรคมะเร็งรังไข่ ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจริงๆ แล้วเกิดมาจากสาเหตุใด แต่จะพบเหตุส่งเสริมที่ทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ได้ ดังนี้คือ

1.สภาพแวดล้อม เช่น สารเคมี อาหาร เนื่องจากพบว่าในประเทศอุตสาหกรรมมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ มากกว่าประเทศเกษตรกรรม

2.สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้ หรือมีบุตรน้อย

3.ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร โอกาสเป็นมะเร็งรังไข่มีมากกว่าคนปกติ


ลักษณะอาการของโรคมะเร็งรังไข่

1. เริ่มแรกอาจไม่มีอาการ ซึ่งแพทย์ตรวจพบโดยบังเอิญ

2. มีอาการท้องอืดเป็นประจำ

3. มีลักษณะเป็นก้อนอยู่ในท้องน้อย

4. ปวดแน่นท้อง หากก้อนมะเร็งโตมากก็จะกดกระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ส่วนปลาย ทำให้ถ่ายปัสสาวะ หรืออุจจาระลำบาก

5. ในระยะท้าย ๆ อาจมีน้ำในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้นกว่าเดิม เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด

การวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่

1.การตรวจภายในอาจคลำพบก้อนในบริเวณท้องน้อย การคลำพบก้อนในรังไข่ได้ในสตรีวัยหมดประจำเดือน ควรนึกถึงมะเร็งรังไข่ไว้ด้วย (เพราะตามปกติวัยหมดประจำเดือน รังไข่จะฝ่อ)

2.การทำแปปสเมียร์จากในช่องคลอดส่วนบนทางด้านหลัง อาจพบเซลล์มะเร็งของรังไข่ได้

3.การตรวจด้วยเครื่องความถี่สูง อาจช่วยบอกได้ว่ามีก้อนในท้อง ในรายที่อ้วน หรือหน้าท้องหนามากคลำด้วยมือตามปกติจะตรวจไม่พบ

4.การผ่าตัดเปิดช่องท้อง และตรวจดูเป็นวิธีที่สำคัญ และแม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยโรคอย่างแน่นอน สามารถขริบ หรือตัดเอาเนื้อมาตรวจหาชนิดของมะเร็ง และทราบถึงระยะของโรคร้าย

การป้องกันโรคมะเร็งรังไข่

เนื่องจากการเป็นโรคมะเร็งรังไข่ในระยะแรก ๆ มักจะไม่มีอาการบ่งบอกให้ทราบ อีกทั้งยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดได้อย่างแท้จริง การป้องกันจึงทำได้ยากมาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ควรรับการตรวจภายใน หรือตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงโดยแพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

สำหรับการรักษาจะทำด้วยวิธีการผ่าตัดซึ่งจะเป็นวิธีแรกที่แพทย์จะเลือกทำการรักษา ถ้าไม่สามารถตัดออกได้หมด เนื่องจากโรคได้กระจายออกไปมากแล้ว แพทย์จะพยายามตัดส่วนที่เป็นออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะให้การรักษาต่อด้วยเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด

ข้อมูลจาก www.healthcorners.com

เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่น


เมื่อมีผู้ป่วยให้ต้องดูแล หากผู้ป่วยมีอาการ เป็นไข้ ตัวร้อน การดูแลเบื้องต้นที่เราจะรู้กันดี คือการหายาลดไข้มาให้กินก่อน จากนั้นจึงใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวผู้ป่วย เพื่อลดความร้อนในร่างกาย แต่การจะใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวผู้ป่วยนั้น หลายคนอาจจะยังไม่รู้กันเลยว่า ที่ถูกต้องนั้นเค้าใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น แต่ส่วนใหญ่จากที่เราได้คุ้นเคยและทำกันมานมนานนั้นก็มักจะใช้น้ำเย็น บางครั้งยังกลัวว่าน้ำจะเย็นไม่พอ ถึงขนาดใช้น้ำแข็งมาผสมกับน้ำเย็นด้วยซ้ำ คุณรู้หรือไม่ว่านั่นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะการเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นจะทำให้ผู้ป่วยยิ่งรู้สึกหนาวสั่นมากกว่าเดิมไปอีก แถมซ้ำความเย็นจากน้ำยังไปทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังหดเกร็ง ซึ่งถือว่าเป็นการไปเพิ่มการใช้พลังงาน จนทำให้ความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนวิธีที่ถูกต้องคือต้องใช้ น้ำอุ่น เพราะเนื่องจากการน้ำผ้าไปชุบน้ำอุ่นแล้วบิดให้หมาดๆ นำมาเช็ดตามตัวเพื่อให้ผิวหนังออกแดงๆ จะเป็นการช่วยขับให้เหงื่อออกมา จะเป็นการช่วยให้ร่างกายได้ระบายความร้อนจากพิษไข้ออกมาด้วย แล้วยังลดอุณภูมิของร่างกายลงอย่างได้ผลดี

ทีนี้เราก็รู้กันแล้วใช่ไหมคะว่า หากจะต้องทำการเช็ดตัวให้ผู้ป่วยเพื่อช่วยลดไข้ เราต้องใช้น้ำอุ่นเท่านั้น อย่าเผลอไปใช้น้ำเย็นอีกล่ะ แทนที่ผู้ป่วยจะหายจากอาการป่วยกลับกลายเป็นว่าป่วยหนักเข้าไปอีก แต่หากทำทานยาลดไข้ เช็ดด้วด้วยน้ำอุ่น และดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง นอนพักผ่อนมากๆ แล้วยังไม่หาย ขอแนะนำว่าไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องจะดีกว่าค่ะ

ดื่มน้ำขิงเพื่อสุขภาพ


การดื่มน้ำขิงสามารถช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย เพราะเนื่องจากขิงเป็นสมุนไพรที่มากไปด้วยคุณประโยชน์ น้ำขิงจะมีรสชาติก็เผ็ดร้อน กลิ่นก็หอมถูกปากถูกใจคนดื่มอย่างมาก และขิงยังมีคุณสมบัติในการช่วยขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในขิงจะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้

วิธีนำขิงมาทำน้ำสมุนไพรดื่ม โดยนำขิงที่แก่จัดทุบแล้วนำไปต้ม หรือตากให้แห้งแล้วบดเป็นผงแล้วนำชงกับน้ำดื่ม จะสามารถช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อได้ หรือจะนำขิงสดมาทานก็จะช่วยย่อยอาหาร แก้อาการเมารถ โดยนำขิงสดมาทุบให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือป่นประมาณหยิบมือ คนให้ละละลาย แล้วดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊สและแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ หรือจะนำมาจิบเพื่อช่วยแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ต้มหอม ๆ กลิ่นของมันยังช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นขิงแก่หรือขิงอ่อนก็สามารถให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมากมาย เช่น พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ

เมื่อเราทราบถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำขิงแล้ว ต่อไปนี้หันมาดื่มน้ำขิงเพื่อสุขภาพวันละแก้วนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก กลุ่มสารนิเทศและวิเทศสัมพันธ์ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

สีปัสสาวะบอกเหตุอะไรได้บ้าง


การปัสสาวะในแต่ละครั้งเราจะรู้ดีว่า ปัสสาวะที่ออกมานั้นจะมีสีอ่อนหรือสีเข้มแค่ไหน คนส่วนใหญ่จะรู้เพียงแค่ว่าหากปัสสาวะสีเข้มก็เพราะเราดื่มน้ำน้อยเกินไป หากปัสสาวะมีสีอ่อนหรือว่าใสก็เพราะเราดื่มน้ำในปริมาณที่มากพอในแต่ละวัน แต่เราไม่ทราบรายละเอียดลึกๆ เกี่ยวกับสีปัสสาวะที่ร่างกายเราขับถ่าย ว่าสามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสุขภาพของเราได้ และทำให้เรารู้ว่าขณะนั้นร่างกายเราปกติดีอยู่หรือไม่ ลักษณะสีของปัสสาวะแบบไหนที่เป็นอันตรายควรได้รับการตรวจร่างกายโดยละเอียดจากแพทย์ หากเราไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ อาจส่งผลให้เราเกิดการเจ็บป่วยจนถึงขั้นยากที่จะเยียวยารักษาได้ เรามาสังเกตุสีของปัสสาวะกันดีกว่าค่ะ ว่าสีปัสสาวะแต่ละสีจะบอกเหตุอะไรเราได้บ้างเพื่อที่เราจะได้รับมือหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีอมแดง
หากขับถ่ายปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดงแบบนี้ เราต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับประทานอาหารอะไรที่มีลักษณะสีทำนองนี้ไปหรือเปล่า เช่น ผลแบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่หากเราแน่ใจแล้วว่าไม่ได้กินอะไรที่ใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็สามารถบอกได้ว่าสีแดงที่ออกมานั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะซึ่งอาจจะมีการอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอวัยวะภายในร่างกายอาจฉีกขาดก็เป็นได้ จึงควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีน้ำตาล
ในกรณีนี้สามารถมองได้เป็น 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการที่เรากินถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นเพราะมีลิ่มเลือดปนออกมากับปัสสาวะก็ได้ ทางที่ดีเราควรปรึกษาแพทย์จะดีกว่า

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีเหลือง
ปัสสาวะที่ออกเป็นสีเหลืองอ่อน ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าวันนั้นร่างกายอาจจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า เราดื่มน้ำในปริมาณน้อยเกินไป แต่หากมั่นใจว่าเราดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะที่ออกมายังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่เหมือนเดิม เราก็ควรจะต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพราะอาจจะมีโรคไตแฝงอยู่ก็เป็นได้

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมามีสีขุ่น
สำหรับผู้ที่ปัสสาวะออมามีสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มคั้นดูว่าหายหรือไม่ หากไม่หาย ก็สันนิฐานได้ว่าอาจมีการติดเชื้อบางอย่างในร่างกายก็เป็นได้ อาการอย่างนี้ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เช่นกัน

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีส้ม
การที่ปัสสาวะออกมาเป็นสีอย่างนี้ อาจจะเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

- ปัสสาวะที่ขับถ่ายออกมาเป็นสีน้ำเงิน
หากปัสสาวะที่ออกมามีสีอย่างนี้ ก็ไม่ต้องตกใจโดยเฉพาะคนที่ทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยาประเภทนี้จะมีส่วนผสมของสารเมธีลีน และจะขับออกมาทางปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะมีสีออกฟ้าๆ

หากเข้าห้องน้ำในครั้งต่อไปอย่าลืม สังเกตดูสีปัสสาวะของตัวเองด้วยนะคะ เพราะถึงแม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากขาดการเอาใจใส่สุดท้ายก็จะกลายเป็นผลร้ายกับตัวเองได้

ปฎิบัติตัวอย่างไรไม่ให้นอนกรน


เสียงกรนเป็นเสียงที่น่ารำคาญสำหรับคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่เป็นอันตรายสำหรับคนที่นอนกรน ทราบหรือไม่ว่าการกรน (Snoring) เกิดจากกล้ามเนื้อคอคลายตัวขณะนอนหลับจนทำให้ช่องคอแคบลง ซึ่งส่งผลให้ต้องหายใจเข้าออกแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อทางเดินหายใจแคบลงจนถึงจุดหนึ่ง ความแรงของลมหายใจที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อภายในระบบทางเดินหายใจ ก็จะทำให้เกิดเสียงกรนตามมา นอกจากนี้การกรนยังเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการปิดกั้นของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อภายในระบบทางเดินหายใจ อย่าง ลิ้น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน คอ หรืออาจเกิดจากสารหล่อลื่นในระบบทางเดินหายใจลดลง ทำให้เกิดอาการแห้ง และบวม ทางเดินหายใจจึงแคบลง เมื่อหายใจจึงเกิดเป็นเสียงกรน

อัตราการกรนจะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะ ผู้สูงวัย คนอ้วน ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือโรคจมูกอักเสบ ผู้ที่ทำงานหักโหม หรือออกกำลังกายมากเกินไป นอกจากนี้การดื่มสุรา สูบบุหรี่จัด กินยานอนหลับก็จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรนได้ เพราะถ้าหากช่องคอแคบลงอีกเรื่อยๆ ก็จะส่งผลให้เกิดการอุดตันในช่องคอแบบชั่วคราว ทำให้ลมหายใจเข้าออกขาดหายไปชั่วขณะ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งหากใครมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะหากขืนปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจเป็นโรคอื่นๆ ตามมาได้อย่างเช่น โรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง อัมพาต ตลอดจนทำให้มีปัญหากับคนที่นอนใกล้ชิด

ปฎิบัติตัวอย่างไรไม่ให้นอนกรน
1. ควบคุมน้ำหนัก ความอ้วนจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนกรน เพราะไขมันที่ไปสะสมบริเวณช่องทางเดินหายใจ จะถูกเบียดให้เล็กลง โดยเฉพาะขมันที่สะสมอยู่บริเวณหน้าอกและท้องก็ยังเป็นภาระให้ร่างกายต้องหายใจหนักขึ้น และต้องใช้พลังงานในการหายใจมากขึ้น

2. การออกกำลังกาย ควรหมั่นออกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อที่ดึงรั้งช่องทางเดินหายใจมีความแข็งแรงขึ้น ขณะที่นอนหลับเนื้อเยื่อภายในปากจะได้ไม่หย่อนลงมาจนขัดขวางช่องทางเดินหายใจ

3. การจัดท่านอน การนอนตะแคงงอข้อศอก จะสามารถช่วยป้องกันการหายใจเข้าออกทางปากได้ เพราะมือข้างหนึ่งจะไปยันคางไว้เพื่อเป็นการปิดปาก นี่ก็เป็นอีกวิธีป้องกันไม่ให้นอนกรน

4. ยกศีรษะให้สูงขึ้น หากไม่สามารถนอนตะแคงได้จริงๆ ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นนอนหงายแล้วใช้หมอนเล็กๆ หนุนที่บริเวณหลังคอด้านบน ยกศีรษะให้สูงจากเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้นหย่อนลงไปในลำคอจนเกิดเสียงกรนได้

5. ควรดูแลรักษาที่นอนให้สะอาด เพื่อไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดหอบหืด ภูมิแพ้ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการกรน เช่น ไรฝุ่น เศษฝุ่น และเศษขนสัตว์

6. อย่าให้มีสิ่งกีดขวางในโพรงจมูก ควรทำความสะอาดช่องจมูกก่อนนอน จะช่วยให้ช่องจมูกเปิดโล่ง ลมผ่านเข้าออกได้อย่างสะดวก

7. เพิ่มระดับความชื้นในห้องนอน หากนอนในห้องที่มีอากาศแห้งเกินไป จะทำให้เยื่อบุต่างๆในระบบทางเดินหายใจพลอยแห้งตามไปด้วย บางรายอาจเกิดอาการบวมและทางเดินหายใจตีบแคบลง จนเกิดอาการนอนกรนในที่สุด

ประโยชน์ของการทานสับปะรด


สับปะรดเป็นผลไม้ไทยที่หาทานได้ง่าย มีรสอมเปรี้ยวอมหวาน จะทานสับปะรดเปล่าๆ หรือจะทานกับพริกกะเกลือก็อร่อยชื่นใจเช่นกัน สับปะรดยังสามารถนำไปทำอาหารได้ทั้งคาวและหวาน และที่สำคัญการทานสับปะรดจะไม่ได้แค่ความอร่อยอย่างเดียว ยังให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย หากทานสับปะรดหลังอาหารจะทำให้เบาสบายท้องและไม่รู้สึกอึดอัด

นั่นก็เพราะในสับปะรดมีความสามารถในการช่วยย่อย โดยเฉพาะในอาหารประเภทโปรตีน เราจึงเห็นคนส่วนใหญ่ใช้สับปะรดมาช่วยในการหมักเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ให้นุ่มยิ่งขึ้น รวมถึงสับปะรดยังอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสุขภาพและภูมิต้านทานโรคได้ดีขึ้น หากคนที่ทานสับปะรดอยู่เป็นประจำจะทำให้สุขภาพดี ไม่ค่อยเป็นหวัด และในสับปะรดยังมีโพแทสเซียมสูงที่ช่วยป้องกันการเป็นตะคริว และลดความดันได้ นอกจากนี้สับปะรดยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้เป็นอย่างดี

ปริมาณการบริโภคสับปะรดที่เหมาะสมคือ 100 กรัมต่อวัน และควรกินสับปะรดสด ๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการความร้อนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียวิตามินต่างๆ ไป

เมื่อเราทราบถึงคุณประโยชน์ของการทานสับปะรดกันแล้ว อย่าลืมหันมาทานสับปะรดเป็นผลไม้ล้างปากหลังทานอาหารกันนะคะ นอกจะทำให้สุขภาพของเราดีแล้วยังช่วยเกษตรกรไทยให้มีรายได้สำหรับเลี้ยงดูครอบครัวได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ

How To Get Rid Of Head Lice And Keep Them Away Permanently

If you use homemade remedies for lice, combing and worked hard to try to exterminate them, there's the usual problem annal. In fact, the topic "How to get rid of head lice" is very important and very relevant question millions of parents around the world who have tried to strip away all the way from the heads of their children.

So what is the best way to treat head lice?

Unfortunately the truth is not beautiful, indeed some would call it terrible: most head lice treatments are less effective every year. The reason is very simple, the lice are becoming increasingly resistant to chemicals used to eliminate head lice every year hordes invade children's heads. Suffice it to say that already in a study conducted in 1996 by Dr. Daniela Thomas of 300,000 primary school children in thirty-one schools in Wales, scholars and scientists of the Communicable Disease Surveillance Centre have concluded that approximately eighty percent of the 316 lice that were tested were resistant to a chemical common in products that combat the lice (or Pyrethroids Pietroidi).

Our children, unfortunately, are not.

Yet Pietroidi Pesticides and are now sadly known to be very toxic to people, especially for children who have much lower immunity than adults. In fact they are highly toxic to the immune system and thyroid. The bad thing is that this is just the tip of the iceberg.

Scientific studies of agents such as Sumithrin, Resmethrin and Permethrin reveal deep fears about their safety and that, most likely, are carcinogenic. There are other studies from Germany who claim that exposure to permethrin and also to Phenothrin can cause leukemia, lymphoid cancer and multiple chemical sensitivity. The compounds under discussion are believed to be natural, and runs the "myth" that they are derivatives of chrysanthemum flowers: in fact it is not true! This synthetic chemical pesticides that have been shown to be dangerous.

Yet many governments have long claimed that these chemicals were safe for use on human beings, then we and our children. Only when the community (ie most people) has found widespread damage and continues, new independent tests have demonstrated their dangerousness.

Unfortunately, many compounds are now being introduced into the homes of rich people from chemical companies (very lucrative industry and lobby) are declared to be harmless and only after so much hard and sad, but it turns out that I'm not! (Think for example to DDT!)

So what is a safe alternative treatment to remove lice from hair?

Well, first you better sit down for a moment to reflect before deciding which treatment to choose to eliminate head lice, whether it be for you whether it is a member of your family.

The main thing is not to panic (which is more common than you might imagine), because such behavior could lead to choices that you regret later ... Keep in mind that even if the lice can be annoying and cause problems both them who is the family, not a disease and, more importantly, the lice can not cause any real damage! You can take a few minutes to decide the best course of action.

Let's start with a fundamental premise: The safest treatment you can do at home to eliminate head lice is one that contains all natural ingredients. Stay away from any treatment that contains pesticides, not only because it may prove completely useless but actually could be very dangerous. Even if they do not contain chemicals that have yet to be proven dangerous, you are really willing to take the risk of using these pesticide based preparations and put them on the heads (permeable) of our children? Who knows what can discover in the future (as has already happened for other products) on the chemicals used today?

Fortunately, there are quite a few 'all-natural remedies available that can readily kill head lice.

Suffocation is an effective method of oil-based products (like mayonnaise), this prevents the lice to breathe (the holes are literally stuck in breathing) and head lice die. But the real secret is to find natural products (of course) that kill both head lice (live) and their eggs in one swift and effective.

Another type of very effective products are those that contain Neem oil. In fact you should know that the neem oil stops the growth and reproduction of head lice. Intrinsic properties of the neem insecticide has been widely recognized and its oil is now commonly available in health food stores and herbalists.

The Neem tree is native to India and is commonly known as the tree 'Cure all'. The insecticidal properties of neem is so effective because you think that destroying the hormonal system of insects, it is obviously necessary for normal body function. In particular it was found that the lice exposed to neem are no longer able to reproduce, then are cut off in successive generations. What does this mean? Which obviously can not reproduce there is a genetic development of resistance to this drug!

When the neem oil is mixed with other natural ingredients that kill head lice and eggs, you have in hand a remedy for head lice completely safe and totally natural, and above all very, very powerful. Only in this way we can get rid of the lice problem in no time and without problems. All this, when combined with a step-by-step plan to prevent a new infestation of head lice can be sure to keep away the annoying head lice for good. Neem oil is easily sold in grocery or nell'erboristeria the house (and, as I said before, even in many stores that are natural food and natural products).

The turning point of our remedy has been the neem oil for it, as we have said, makes head lice unable to reproduce. But in our remedies we have added another ingredient (natural) that increases the effectiveness of Neem oil 20 or 30 times as much and you probably already have in your pantry right now!

Our remedy for lice contains other ingredients that kill one hundred percent and even head lice eggs, so you can quickly get rid of these pesky animals for good and make sure that does not come back anymore.

All other ingredients contained in our totally natural and safe remedies are available in health food stores in many online stores.

If you’re tired of fighting lice, I recommend this site that will give you plenty of home remedies and help you get rid of lice once and for all!

มาทานบร็อคโคลี่ต้านโรคมะเร็งกันดีกว่า


นักวิจัยได้เปิดเผยว่าการรับประทานบร็อคโคลี่ทุกวันนั้น สามารถช่วยควบคุมเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori เป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของแผลในกระเพาะรวมถึงโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ได้มีงานวิจัยจาก Cancer Prevention Research ที่ศึกษาในกลุ่มคนชาวญี่ปุ่นกว่า 50 คนที่รับประทานบร็อคโคลี่ทุกวันในปริมาณ 2.5 ออนซ์ (1 ออนซ์ = 28.3495231 กรัม) เป็นระยะเวลา 2 เดือนจะสามารถช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้

ในบร็อคโคลี่ประกอบไปด้วยสาร sulforaphane ซึ่งพบว่า สารชนิดนี้มีการออกฤทธิ์คล้ายกับยาปฏิชีวนะ คนที่รับประทานบร็อคโคลี่ทุกวันนั้นจะมีปริมาณค่าบ่งชี้ของ H.pylori ในอุจจาระที่เรียกว่า HpSA ลดลงกว่า 40% แล้วยังทดลองต่อไปอีกว่าหากเลิกรับประทานบร็อคโคลี่ไป 8 สัปดาห์ จะพบว่ามีระดับการเพิ่มขึ้นของ HpSA ไปเท่ากับระดับก่อนการทดลอง ซึ่งระบุได้ว่าบร็อคโคลี่นั้นสามารถช่วยยับยั้งการขยายพันธุ์ของ H.pylori

งานวิจัยนี้นำโดยมหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกินส์ ซึ่งพบว่าระดับของการติดเชื้อและการอักเสบนั้นลดลง โดยบ่งชี้ความเป็นไปได้ว่าการเป็นโรคกระเพาะ แผลในกระเพาะและมะเร็งกระเพาะนั้นลดลง นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ค้นพบว่าบร็อคโคลี่มีสาร sulforaphane มาในช่วงต้นของทศวรรษนี้ นักวิจัยได้ทำการทดลองในหนูเช่นกัน โดยให้หนูกินบร็อคโคลี่เป็นเวลากว่า 8 สัปดาห์พบว่าหนูมีจำนวนของแบคทีเรีย H.pylori ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนแบคทีเรียในหนูที่กินแต่น้ำเปล่า หนูอีกกลุ่มได้ถูกดัดแปลงทางพันธุกรรมโดยไม่มียีน Nrf2 ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นเอนไซม์ป้องกันต่าง ๆ และพบว่าหนูนั้นล้มเหลวที่จะเกิดรูปแบบเดียวกับหนูที่ได้รับประทานบร็อคโคลี่

เมื่อเราทราบแล้วว่าการทานบร็อคโคลี่ทุกวันสามารถลดอัตราการเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้ ฉะนั้นเราควรหันมาทานบร็อคโคลี่เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราและคนที่เรารักกันดีกว่าค่ะ

ข้อมูลจาก becthai.com

อาการปวดไหล่


อาการปวดไหล่ที่พบได้บ่อยจะมีอยู่ 2 ชนิด
1. ชนิดเฉียบพลัน มักจะเป็นอาการปวดไหล่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่จะเป็นการปวดแบบชั่วคราว เมื่อรับการรักษาก็จะเห็นผลได้เร็ว
2. ชนิดเรื้อรัง อาการปวดไหล่ชนิดนี้มักจะเป็นๆ หายๆ และจะเป็นได้นาน การรักษาไม่ค่อยจะได้ผลที่แน่นอน

สาเหตุของการปวดไหล่ที่พบได้บ่อย
1. เกิดจากเอ็นอักเสบ เอ็นมีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างกระดูกกับกล้ามเนื้อ เมื่อเอ็นบริเวณนั้นได้รับการกระทบกระเทือนหรือมีการออกแรงมากเกินไป มักจะเกิดการฉีกขาด และมีการอักเสบร่วม ทำให้รู้สึกปวดมากเมื่อมีการเคลื่อนไหวไหล่ ในบางรายไม่สามารถเคลื่อนไหวไหล่ได้เลย อาการเช่นนี้มักเกิดกับนักกีฬา หรือคนทำงานแบกหาม
2. เกิดจากกล้ามเนื้อและเอ็นเสื่อมสภาพ มักพบมากในผู้สูงอายุ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่ใช้มานานจะเสื่อมสภาพลง ส่วนที่พบบ่อยที่สุดคือ กล้ามเนื้อและเอ็นที่มีหน้าที่หมุนหัวไหล่ หรือที่เรียกว่า Rotator Cuff
3. เกิดจากถุงหุ้มข้ออักเสบ ถุงหุ้มข้อเป็นอวัยวะที่อยู่ระหว่างกระดูก เอ็น กล้มเนื้อ มีหน้าที่ลดการเสียดสีระหว่างกระดูกและอวัยวะดังกล่าว เมื่อถุงหุ้มข้อได้รับแรงกระแทกมากเกินไป ถุงหุ้มข้อที่ลื่นและช่วยหล่อลื่นข้อจะเกิดการอักเสบ เกิดการฝืด ทำให้ข้อไหล่เคลื่อนไหวผิดปกติ หรือเคลื่อนไหวไม่ได้
4. เกิดจากข้ออักเสบ เป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นในข้อไหล่ เนื่องจากมีการแตกของกระดูกอ่อนที่คลุมข้อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้ลำบาก
5. เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับข้อไหล่ แต่เนื่องจากข้อไหล่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทและกระดูกคอ ดังนั้นหากมีเส้นประสาทที่อยู่ใกล้ข้อไหล่อักเสบ หรือกระดูกต้นคอทับเส้นประสาท ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดไหล่ได้เช่นกัน

วิธีรักษาอาการปวดไหล่เบื้องต้นด้วยตัวเอง
1. ควรพักการใช้ข้อไหล่ เมื่อไม่ให้มีการขยับเขยื้อนไหล่ ซึ่งจะทำให้การปวดไหล่ที่เกิดจากสาเหตุการอักเสบดีขึ้น แต่ไม่ควรพักนานเกินไป อาจทำให้เกิดข้อไหล่ติดได้
2. ควรประคบเย็น กรณีที่ปวดไหล่เฉียบพลันภายใน 24 ชม. การประคบเย็นจะช่วยลดอาการปวดบวมของไหล่ได้ หากปวดนานเกิน 24 ชม. การประคบร้อนจะช่วยลดอาการปวดบวมของไหล่ได้เช่นกัน การประคบร้อนควรหลีกเลี่ยงในรายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อบริเวณข้อ
3. ใช้ยาแก้ปวด ควรปรึกษาเภสัชกรในการเลือกใช้ยา ซึ่งจะได้ผลในกรณีที่มีการอักเสบเกิดขึ้น แต่จะไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อย ถ้าอาการปวดไหล่เกิดจากการเสื่อมสภาพทางข้อไหล่

หากรักษาด้วยวิธีเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาในเชิงลึกอย่างถูกต้องต่อไป

อาหารที่ทำให้นอนไม่หลับ


สำหรับคนที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ หรือนอนหลับยากแบบหาสาเหตุไม่เจอ คุณรู้หรือไม่ว่าอาหารที่เราทานอยู่ทุกวันนี้มีส่วนที่ทำให้เราเกิดอาการนอนไม่หลับได้เช่นกัน อาหารที่ทำให้เรานอนหลับยาก ได้แก่ อาหารที่มีส่วนประกอบของสารไทรามีน (Tyramine) ซึ่งสารตัวนี้จะไปยับยั้งสารเคมีในสมองอย่างสารนอร์เอพิเนฟรีน (nor epinephrine ) ซึ่งทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ สารไทรามีนมักจะพบในอาหารประเภท เบคอน ซีส ช๊อคโกแลต แฮม ไส้กรอก มันฝรั่งและมะเขือเทศ ดังนั้นเราควรลดปริมาณการทานอาหารประเภทนี้ลง และควรเลือกทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง อาหารจำพวกธัญพืชไม่ขัดขาว เพราะถ้าทานอาหารประเภทนี้นี้มื้อเย็น จะช่วยให้ใช้เวลาาในการย่อยไม่มาก ทำให้เรานอนหลับเป็นปกติดี

น้ำมันมะกอกป้องกันโรคมะเร็งเ้ต้านม


โรคร้ายอย่างมะเร็งเต้าที่คร่าชีวิตของผู้หญิงไปอย่างมากมายแล้ว ถ้าใครอยากหลีกให้พ้นจากโรคมะเร็งควรจะหันมาทานน้ำมันมะกอกกันแล้วค่ะ เพราะน้ำมันมะกอกช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วนของร่างกาย เช่น เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของ ติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ

ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร เพียงแค่วันละ 4-5 หยด ซึ่งควรเลือกแบบ Extra Virgin Olive Oil เพราะ Extra Virgin Olive Oil เป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ซึ่งมีอนุมูลอิสระอยู่ในรูปของกรดโอเลอิค ซึ่งต้องไม่เกิน 1 กรัมต่อ 100 กรัม มีกลิ่นและรสชาติที่ได้มาตรฐานสูงเป็นพิเศษ มีสีเขียวเข้มใส น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษจะเสียรสชาติ หากทำให้ถูกความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด แค่ทานสลัดกับน้ำสลัดที่ทำมาจากน้ำมันมะกอกทุกวัน คุณก็สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งได้แล้วค่ะ

โรคท้องผูก (Constipation)


โรคท้องผูก ถือได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพปัญหาหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม โรคท้องผูกเป็นปัญหาใหญ่ที่มักเกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย และขาดการออกกำลังกาย ซึ่งท้องผูกมีลักษณะอาการอยู่ 2 แบบ คือ ท้องผูกแบบอ่อนแรง จะทำให้ลำไส้ไม่มีแรงบีบตัว เกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย และดื่มน้ำน้อยหรืออาจเกิดจาการออกกำลังกายไม่เพียงพอ อีกแบบคือท้องผูกแบบหดเกร็ง ท้องผูกแบบนี้จะพบว่าลำไส้บีบตัวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ขับถายผิดปกติ อาจเกิดจากปัญหาทางด้านจิตใจหรือระบบประสาท สูบบุหรี่จัด หรือกินอาหารที่ทำให้ลำไส้ระคายเคือง

สาเหตุของท้องผูก
เกิดจากการอั้นอุจจาระเป็นประจำ ทำให้เสียนิสัยการถ่าย เพราะเมื่ออุจจาระไปรอที่ปลายลำไส้ใหญ่แล้ว จะมีกระแสประสาทไปเตือนให้เกิดการขับถ่าย แต่เมื่ออั้นไว้บ่อยๆ เข้าก็จะทำให้อุจจาระไปสะสมในลำไส้ใหญ่นานเกินไป น้ำในอุจจาระจะถูกดูดกลับไปมากเกิน ทำให้อุจจาระแห้งแข็ง อีกสาเหตุก็เพราะทานอาหารที่มีกากใยอาหารน้อยเกินไป ไม่มีการออกกำลังกาย กินแล้วก็นั่งๆ นอนๆ ดื่มน้ำในปริมาณน้อยเกินไปในแต่ละวัน และความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเช่นกัน เพราะถ้าปล่อยให้ตัวเองเครียดมากๆ ก็ทำให้ท้องผูกได้เช่นกัน

วิธีที่ไม่ให้ท้องผูก
1. ดื่มน้ำสะอาดให้ได้ 1-2 ลิตรต่อวัน
2. ควรฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ควรเข้าห้องน้ำทันทีเมื่อรู้สึกปวดถ่าย ไม่ควรรอหรืออั้นไว้เพราะยิ่งถ้าปล่อยไว้นานจะยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก
3. ควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย วันละ 30 นาที
4. หลีกเลี่ยงอาหารที่กากใยน้อย เช่น เนยแข็ง ชีส ไอศครีม เนื้อวัว ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท ชา กาแฟและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมาก
5. เลือกทานอาหารที่มีใยอาหาร เช่นผักและผลไม้ต่างๆ ที่มีอยู่ตามฤดูกาล เพราะใยอาหารจะทำให้เนื้ออุจจาระอุ้มน้ำมากขึ้น ควรเริ่มทานในปริมาณ 20-30 กรัมต่อวัน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นในทุกๆ สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวจะได้ไม่เกิดอาการท้องอืด ในบางรายที่ไม่ชอบทานผัก หรือชอบทานผักแต่ไม่สามารถเคี้ยวผักให้ละเอียดได้เนื่องจากสุขภาพฟันไม่ดีเช่นเช่นผู้สูงอายุ สามารถทดแทนด้วยอาหารเสริมทดแทนผัก ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เช่น ผักเม็ด หรือ ผักอัดเม็ด จากโครงการหลวง ที่ทำจากผักสดโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี สามารถรักษาคุณค่าทางสารอาหารและกากไยได้เหมือนกับผักสด ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
6. ไม่ควรเลือกใช้ยาระบายในการช่วยให้ขับถ่ายได้ง่าย


ออกกำลังกายเพิ่มพลังสมอง


คุณเืชื่อหรือไม่ว่าการออกกำลังกายเพิ่มพลังสมองได้ ขึ้นชื่อว่าออกกำลังกายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบไหน ถ้าเราหมั่นทำทุกวันอย่างต่อเนื่องเพียงแค่วันละ 30 นาทีขึ้นไป ก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูสมอง ทำให้สมองไม่เกิดความเครียดจนอาจจะเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควรได้

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยกระตุ้นสารเคมีในสมองที่ชื่ว่า BDNF (Brain Derived Neurotrophic Factor) ให้ผลิตเอ็นไซม์และโปรตีนที่ช่วยทำให้เซลล์ประสาทเชื่อมต่อกันได้ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นฮอร์โมน HGH (Human Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมใต้สมองให้มีปริมาณมากขึ้น เพราะเมื่อคนเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิต HGH ได้น้อยลง เป็นเหตุให้เราแก่ชราลงตามวัย ดังนั้นฮอร์โมน HGH จะมีหน้าที่รักษาสมดุลในร่างกายช่วยสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์สึกหรอ ทำให้ร่างกายแข็งแรงและดูอ่อนกว่าวัยนั่นเอง

เห็นไหมละคะว่าการออกำลังกายเพิ่มพลังสมองได้จริงๆ ค่ะ รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมออกกำลังกายทุกวันนะคะ แล้ววันนี้คุณออกกำลังกายแล้วหรือยัง?

สัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องออกกำลังกายแล้ว


สำหรับใครที่ไม่ชอบออกกำลังกายเลย หรือเป็นพวกชอบผลัดวันประกันพรุ่งเป็นประจำ ก็มักจะหาข้ออ้างให้ตัวเองไม่มีเวลาออกกำลังซักที ต้องปล่อยให้ร่างกายต้องส่งสัญญาณมาเตือนมาว่าถึงเวลาแล้วนะที่คุณควรต้องออกกำลังกาย ไม่งั้นอย่ามาหาว่าชั้นไม่เตือน มาดูสัญญาณอันตรายเตือนจากร่างกายดีกว่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

1. เมื่อน้ำหนักตัวของคุณขั้นมากกว่าที่ควรจะเป็นเกิน 10 กิโลกรัมขึ้นไป
2. รู้ตัวว่าตัวเองมีอาการง่วงนอนในขณะทำงาน แต่พอถึงเวลาต้องนอนกลับนอนไม่หลับ
3. รู้สึกอ่อนเพลียง่าย เวลาเดินขึ้นตึกสูง ๆ 2 ชั้นติดต่อกันโดยไม่พักไม่ได้
4. รอบเอวขยายใหญ่ขึ้นแถมยังมีหน้าท้องยื่นออกมา
5. รู้สึกตัวว่าหงุดหงิดง่าย ขี้โมโห อารมณ์ฉุนเฉียว มีความวิตกกังวล และไม่มีอารมณ์ขัน
6. เป็นช่วงเวลาที่สูบบุหรี่จัด หรือดื่มสุราจัด
7. ไม่สามารถยืนตรงๆ แล้วก้มลงแตะปลายนิ้วกับพื้นได้ หรือเวลานอนหงายแล้วไม่สามารถพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเองได้
8. เวลานั่งตัวตรง แล้วเหยียดขาตึงไปข้างหน้า ไม่สามารถโน้มตัวใช้นิ้วแตะปลายเท้าได้
9. เมื่อตรวจพบว่าตัวเอง มีไขมันหรือระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง
10. หากไม่มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อหรือเข่า จะได้ยินเสียงกุกกักและรู้สึกได้ว่าข้อต่อยึด ติดขัด
11. มีความสับสนด้านความคิด ไม่สามารถจัดระบบความคิดของตัวเองได้ ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรก่อนหรือหลังดี
12. มีอาการเบื่อหน่ายสิ่งแวดล้อมรอบตัว อะไรก็ไม่ถูกใจไปเสียหมด
13. เมื่อสุขภาพร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยได้ง่าย "วันละโรค"

ชาเขียวเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ


ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่หลายคนนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบดื่มร้อนๆ หรือดื่มเย็นๆ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ซึ้งถึงประโยชน์ที่แท้จริงของชาเขียว เราลองมาทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของชาเขียว และการบริโภคชาเขียวที่ถูกต้องเพื่อสุขภาพของเรากันดีกว่าค่ะ

ชาเขียวควรดื่มมากเท่าไรถึงจะพอ
คนที่ดื่มชาเขียว 10 แก้วต่อวัน พบว่าจะปลอดจากโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวันถึง 3 ปี (ในชาเขียวมี Polyphenol ประมาณ 240-320 มก. ในชาเขียว 3 แก้ว)
ขณะเดียวกันการดื่มชาเขียว 4 แก้วหรือมากกว่านั้นจะช่วยป้องกันโรคปวดข้อ หรือลดอาการปวดในกรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้ว อีกทั้งยังพบว่าการเกิดโรคมะเร็งเต้านม หรือการขยายตัวของโรคนั้นจะน้อยลงในผู้หญิงที่มีประวัติดื่มชาเขียว 5 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อ 1 วัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเรื่องคุณสมบัติการป้องกันมะเร็งของชาเขียว พบว่าคุณสามารถได้รับปริมาณ Polyphenol ในปริมาณที่ต้องการได้โดยดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน

ประโยชน์ของการดื่มน้ำทับทิม


ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทับทิม เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อสุขภาพของเรา ว่ากันว่าถ้านำทับทิมมาทำเป็นน้ำทับทิม จะถือได้ว่าเป็นน้ำผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดในบรรดาน้ำผลไม้ทั้งหมด จากผลการวิจัยในสหรัฐฯ ได้พบว่าคุณประโยชน์ของสารต้านอนุมูลในน้ำทับทิม สามารถช่วยไปกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ เพราะจะไปช่วยลดการสะสมไขมันในเส้นลือด ทำให้ไขมันที่หนาตัวและสะสมอยู่ในเส้นเลือดลดลง อีกทั้งยังมีฤทธิ์ช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราควรลองหันมาดูแลสุขภาพของเราเอง ด้วยการดื่มน้ำทับทิมเป็นประจำทุกวัน น้ำทับทิม 1 แก้วมีวิตามินซีร้อยละ 40 ของความต้องการของผู้ใหญ่ใน 1 วัน และมีวิตามินเอ อี และกรดโฟลิกปริมาณสูง โดยคุณสมบัติของน้ำทับทิมที่ดีจะต้องเป็นการคั้นเอาน้ำ จากทับทิมทั้งลูกพร้อมเปลือก เพราะเนื่องจากเปลือกทับทิมและเยื้อหุ้มเมล็ดทับทิมนั้น จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อสุขภาพที่ดีควรดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้ว เป็นการบำรุงสุขภาพของตัวเราเอง

ประโยชน์ขมิ้นดีต่อตับ


คนที่กำลังมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับตับ เพราะในตับมีปริมาณโปรตีนหรือไขมันมากเกินไป จนทำให้เกิดพังผืดขึ้นภายในตับ ซึ่งเป็นภาวะของ โรคไขมันพอกตับ สมควรอ่านบทความนี้เป็นยิ่ง เพราะว่าวันนี้เรามีสิ่งดีๆ มาแนะนำให้คุณนำไปใช้บำรุงตับกัน นั่นก็คือ ขมิ้น เราพอจะรู้กันอยู่บ้างแล้วว่าประโยชน์ของขมิ้นนอกจากจะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางเพราะมีสรรพคุณช่วยด้านสุขภาพความงามและช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารแล้ว ขมิ้นยังมีประโยชน์ต่อตับอีกด้วย เพราะในขมิ้นจะมี สารเคอร์คูมิน (Curcumin) ที่สามารถป้องกันหรือรักษาความเสียหายของตับ อันเนื่องมาจากภาวะไขมันพอกตับได้ โดยสารเคอร์คูมินในขมิ้นจะเข้าไปขัดขวางการทำงานของ สารเลพติน (Leptin) ในร่างกาย ซึ่งสารตัวนี้แหละที่จะเป็นตัวไปกระตุ้นการทำงานของ เซลล์สเทลเลต (stellate cells) ที่มีอยู่ในตับ จะทำให้เซลล์สเทลเลตผลิตคอลลาเจนและโปรตีนออกมาเป็นจำนวนมาก จนส่งผลให้เกิดพังผืดภายในตับทำให้เป็นที่มาของโรคไขมันพอกตับนั่นเอง ฟังแล้วอาจจะดูซับซ้อนซักหน่อย แต่เรื่องของเรื่องก็จะบอกว่าถ้าเราบริโภคขมิ้นเข้าไป สารในขมิ้นก็จะไปช่วยไม่ให้เราเกิดโรคไขมันพอกตับยังไงล่ะคะ เมื่อทราบอย่างนี้แล้วอย่าลืมทานขมิ้นทุกวันเป็นการช่วงบำรุงตับให้แข็งแรงนะคะ หลายคนอาจจะทานขมิ้นสดๆ ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะวิวัฒนาการสมัยนี้ก้าวหน้า โดยขมิ้นจะมาเป็นรูปของแคปซูล ทำให้ง่ายต่อการทานมากขึ้น

หมายเหตุ
สาร'เลพติน' (Leptin) จะเป็นฮอร์โมนที่มีอยู่ในเซลไขมันทั่วไป
สเทลเลตเซลล์ (stellate cells) ซึ่งเป็นเซลล์ myofibroblast ที่อยู่ภายในตับเป็นศูนย์กลางของการเกิดพังผืดภายในตับ

ทานอย่างไรให้ห่างไกลท้องผูก


ท้องผูก (Constipation) คืออาการที่ถ่ายอุจจาระไม่คล่อง ถ่ายออกมาลำบาก ฉะนั้นควรสังเกตระบบการขับถ่ายของตัวเอง หากว่าคุณรู้สึกว่าขับถ่ายยากและอุจจาระที่ออกมาเป็นสีคล้ำ แข็ง และมีกลิ่นเหม็น นี่ถือว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าคุณเกิดอาการท้องผูกแล้วค่ะ

ถ้าปล่อยให้มีอาการท้องผูกบ่อยๆ จะส่งผลให้เป็นอันตรายต่อลำไส้อย่างร้ายแรง เพราะกากอาหารที่ผ่านการย่อยจะไปคั่งค้างที่ลำไส้เป็นเวลานาน เป็นของเสียที่ทำให้เกิดพิษ และลำไส้ก็จะดูดซึมพิษนั้นเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งจะทำให้เกิดความดันที่ส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ จะทำให้ท้องอืด และกล้ามเนื้อทววารหนักต้องเกิดการเกร็งตัวเป็นเวลานาน จนเกิดเลือดคั่งกลายเป็นโรคริดสีดวงทวารได้

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดอาการท้องผูก อย่าง พวกชา กาแฟ ช็อคโกแลต รวมทั้งอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนย น้ำมัน รวมไปถึงเครื่องเทศบางอย่าง เช่น หอมดิบ เปปเปอร์มินต์ หรือสะระแหน่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย

อาหารที่ควรประทานเพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องผูกนั้นก็จะมีกล้วยสุก มะละกอสุก ผักผลไม้ รวมไปถึงข้าวกล้อง ธัญพืช อาหารพวกนี้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราดีขึ้น

รู้หรือไม่ว่าสารนิโคติน...ก็กินสมองได้


ขึ้นชื่อว่า บุหรี่ ยังไงก็ให้โทษมากกว่าให้คุณวันยังค่ำ ไม่ว่าจะต่อตัวผู้สูบเองหรือผู้ใกล้ชิด เพราะในบุหรี่จะมีสารเสพติดและสารพิษไม่ต่ำกว่า 30 ชนิดที่ให้โทษต่อร่างกาย และหนึ่งในนั้นก็คือ สารนิโคติน โดยสารชนิดนี้จะมีอยู่ปริมาณมากในบุหรี่ และนับได้ว่าเป็นสารเสพติดที่มีพิษรุนแรงสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังและเยื่อบุอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้โดยตรง

สารนิโคตินนอกจากจะมีฤทธิ์กระตุ้นสมองและระบบประสาทส่วนกลางแล้ว ยังส่งผลให้ความดันโลหิตสูงและทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ถึง 30 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมไปถึงกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ด้วย นอกจากนี้สารนิโคตินยังมีผลต่อความหนาของเนื้อเยื่อหุ้มสมอง โดยเฉพาะบริเวณกึ่งกลางหน้าผากลดลง ในผู้ที่สูบบุหรี่จะมีขนาดเนื้อเยื่อหุ้มสมองบางกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่หลาายเท่า ยิ่งถ้าได้รับปริมาณสารนิโคตินมากขึ้น เนื้อเยื่อหุ้มสมองก็ยิ่งบางลงเรื่อยๆ จะนำความเสียหายไปสู่ระบบประสาท เพราะเยื่อหุ้มสมองบริเวณนี้มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการระบบประสาทที่มีผล่อการตัดสินใจนั่นเอง

รักษาภาวะกรดไหลย้อนด้วยวิธีธรรมชาติ


เคยมีอาการแบบนี้ไหมคะ เจ็บแสบแถวบริเวณหน้าอกโดยเฉพาะเวลาหลังทานอาหารหรือขณะนอนหลับบางคนอาจจะคิดไปว่าตัวเองกำลังมีอาการของโรคหัวใจหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วอาการที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหน้าอกและคอหอย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะแสดงอาการในขณะนอนหลับตอนกลางคืน ทำให้รู้สึกทรมานมากไม่แพ้กับอาการของโรคหัวใจเลยทีเดียว บางรายอาจจะมีอาการบางอย่างร่วมด้วย เช่น รู้สึกวิงเวียน แน่นท้อง อยากอาเจียนหลังรับประทานอาการ แต่เรามีวิธีรักษาภาวะกรดไหลย้อนด้วยวิธีธรรมชาติมาฝากค่ะ

1. กินกระเทียม ในกระเทียมประกอบด้วยสารที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะเชื้อ H. Pyloris ที่แม้แต่กรดในกระเพาะอาหารก็ไม่สามารถทำลายเชื้อชนิดนี้ได้ นอกจากนี้กระเทียมยังไปช่วยปรับสมดุลของเชื้อแบคทีเรียจำเป็นต่อร่างกายที่มีอยู่ในลำไส้อีกด้วย แต่ต้องเป็นกระเทียมที่ผ่านการบดการตำ หรือเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน เพื่อที่สารอัลลิซินในกระเทียมสามารถสัมผัสกับทางเดินอาหารโดยตรง

2. กินอาหารประเภท probiotic ได้แก่โยเกิร์ต คีเฟอร์ เพราะในอาหารประเภทนี้มีจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

3. ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอเพราะน้ำจะไปช่วยลดความเข้มข้นของกรด สังเกตได้จากปัสสาวะสีค่อนข้างใสไม่เป็นสีเหลืองเข้ม

4. มีผลการวิจัยบอกว่าการดื่มชาคาร์โมมายด์สามารถลดอาการของภาวะกรดไหลย้อนได้ แต่ยังไม่สามารถอธิบายถึงกลไกได้ชัดเจน

5. ควรงดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดเหนือกระเพาะคลายตัว ทำให้กรดสามารถไหลย้อนกลับมากขึ้น

6. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะเป็นการไปกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น

7. ไม่ควรทานอาหารก่อนนอนเพราะทุกครั้งหลังทานอาหาร กระเพาะจะหลั่งกรดออกมาเพิ่มขึ้น และเมื่อนอนจะเพิ่มความเสี่ยงให้กรดไหลย้อนกลับ ฉะนั้นควรทานอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง

8. ควรนอนในท่าที่ศีรษะยกสูงขึ้น จะทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะกรดไหลย้อนได้เนื่องจากแรงดึงดูดโลกจะดึงให้กรดจากกระเพาะไม่ให้ไหลขึ้นมา

9. สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือคนอ้วน จะมีโอกาสที่จะเกิดกรดไหลย้อนกลับขณะนอนมากกว่าคนปกติ การลดน้ำหนักก็จะทำให้ช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้

แสงแดดช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน


จากที่เราเคยทราบกันดีอยู่แล้วว่าแสงแดดจะมีรังสีอุลต้าไวโอเลตซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ยิ่งเด็กสาวๆ สมัยนี้เรื่องรักสวยรักงามเป็นกันทุกคนกลัวการต้องออกไปเจอกับแสงแดด มักสวมเสื้อผ้ามิดชิดเพื่อไม่ให้แสงแดดมาสัมผัสกับร่างกาย หาวิธีสารพัดที่จะมาพิชิตแสงแดด

แต่ยังไม่มีใครมากนักที่จะทราบว่า แสงแดดยังมีประโยชน์ในเรื่องการช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ เพราะร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดดได้ ซึ่งวิตามินดีที่ได้จะไปช่วยทำให้ลำไส้มีการดูดซึมแคลเซียมได้ดี ส่งผลให้กระดูกแข็งแรงลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน

เมื่อเราทราบแล้วว่าแสงแดดช่วยป้ิิองกันโรคกระดูกพรุนได้อย่างนี้แล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งปกป้องผิวหนังตัวเองจากแสงแดดกันตลอดเวลา เพราะแสงแดดในช่วงเช้าๆ เป็นแสงแดดที่ไม่มีอันตราย เราควรออกไปรับแสงแดดในช่วงนี้วันละประมาณ 10-15 นาทีบ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีของกระดูก สำหรับแสงแดดที่ควรหลีกเลี่ยงจะเป็นแสงแดดช่วงเวลากลางวันหลัง 9 โมงเช้าไปจนถึงตอนเย็นมากกว่า

วิธีทำความสะอาดร่างกายจากภายในด้วยอาหาร


เมื่อได้ยินคำว่าทำความสะอาดร่างกายจากภายในด้วยอาหาร หลายคนอาจจะคิดว่าใช่การดีท๊อกซ์หรือเปล่าน๊า จริงๆ แล้วความหมายในบทความนี้ไม่ใช่ แต่เป็นการเลือกรับอาหารที่มีคุณภาพเข้าสู่ร่างกายมากกว่าการทานเพื่อความอร่อย เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเอง อย่างที่เขาบอกว่าสุขภาพดีไม่มีขาย เราต้องเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง โดยวิธีทำความสะอาดร่างกายจากภายในด้วยอาหารก็จะต้องทำกันดังนี้

1.ควรเลือกรับประทานผัก ผลไม้และนมสดแทนการขนมกรุบกรอบเป็นของว่าง
2.ต้องทานโยเกิร์ตให้เป็นนิสัย และควรมีโยเกิร์ตติดตู้เย็นไว้เป็นประจำ และเพราะในโยเกิร์ตจะมีกรดและแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อระบบการทำงานของลำไส้และกระเพาะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3.สำหรับมื้อเที่ยงให้หลีกเลี่ยงอาหารหนัก ๆ ควรเปลี่ยนมาทานสลัดผักและแซนด์วิชจากขนมปังโฮลวีทแทน
4.ควรดื่มชาเขียวให้มาก ๆ เพราะในชาเขียวจะมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระมาก การต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวไม่เพียงแต่จะมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าวิตามินซีถึง 100 เท่า แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีอีกถึง 25 เท่าเลยทีเดียว
5.ควรเลือกทานคาร์โบไฮเดรตจากพืชโดยตรงมากกว่าเลือกทานจากแป้งหรือข้าว เพราะคาร์โบไฮเดรตจากพืช เช่นมันฝรั่ง ข้าวโพด จะกากใยที่ช่วยเรื่องระบบการย่อยแถมด้วย

โรคเริมที่ปาก ( herpes labialis )


โรคนี้ถือได้ว่าเป็นโรคประจำตัวของเจ้าของบล๊อคนี้เลยค่ะ เป็นทีไรแทบไม่อยากออกจากบ้านไปพบปะกับผู้คนเลย รู้สึกอายมากๆ และกลัวคนอื่นเค้าจะรังเกียจด้วย เวลาเป็นเราก็จะซื้อยาที่ใช้สำหรับทาแผลในปากมาทาก็จะหายเหมือนกันแต่ใช้เวลานานเกือบเป็นอาทิตย์ เราอยากหายจากการเป็นโรคนี้มากเลย เราไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจึงทราบทำให้ทราบว่า เริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes จะมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆ เล็กบริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด

สาเหตุของโรคเริมที่ปาก เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อชนิดนี้ครั้งแรกอาจจะไม่แสดงอาการหรือเกิดตุ่มใส เพราะเชื้อนั้นจะไปยังปมประสาทแลจะะอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนเมื่อมีสภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะทำการแบ่งตัวและทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด และจะหายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใสขึ้น ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากก่อน สำหรับผู้ป่วยบางรายอาการครั้งแรกอาจจะรุนแรงเลย โดยจะมีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด หรือว่าถูกแสงแดดมากๆ เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคนี้เป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่สำหรับในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้

การติดต่อของเชื้อ จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง เช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมส่วนตัวร่วมกัน อย่างการใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากที่ได้รับเชื้อนี้ไปประมาณ 7-10 วัน อาการก็จะเริ่มออก คือจะรู้สึกแสบร้อนริมฝีปากและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย

พอเราอ่านเจอแบบนี้แล้วก็รู้เลยว่าโรคนี้จะอยู่กับเราจนกว่าเราจะตายนั่นแหละ เบื่อจริงๆ เลย แต่อย่างน้อยในการค้นหาข้อครั้งนี้ก็ไม่ถึงกับเปล่าประโยชน์ซะทีเดียว บังเอิญเราไปอ่านเจอกระทู้อยู่กระทู้หนึ่งที่เจ้าของเคยมีประสบเช่นเดียวกับเราและเค้ารู้จักวิธีป้องกันและวิธีรักษาให้หายเร็วขึ้น

วิธีป้องกัน ถ้าเราต้องอยู่ในที่ที่มีแสงแดดมากๆ ก็จะไปกระตุ้นให้เชื้อแสดงอาการออกมาได้ง่าย การทาลิปมันป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดก็จะสามารถช่วยได้

วิธีการรักษา ให้หายเร็วขึ้น ถ้าเรารู้สึกว่าจะเริ่มมีอาการให้รีบใช้น้ำแข็งจี้ตรงจุดที่เกิดอาการเป็นเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็จะสามารถช่วยลดอาการบวมของตุ่มอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นซื้อยา Vilerm มาทา ควรทาทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และทานยาแก้อักเสบวันละ 3 เวลา พอวันที่สองก็จะตกสะเก็ด วันที่สามหรือสี่ก็จะหายเป็นปกติและที่สำคัญที่สุดควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียดกับอาการที่เป็น ถึงแม้เราจะไม่หายขาดจากโรคนี้ซะทีเดียวแต่แค่นี้ก็พอจะให้เราอยู่กับเริมอย่างเป็นทุกข์น้อยลง

รู้หรือไม่ว่าคุณอาจติดโรคร้ายจากสัตว์เลี้ยงแสนรักได้

จากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า การที่คนเราชอบนำสัตว์เลี้ยงเข้ามานอนร่วมเตียงด้วยนั้น ในเชิงจิตวิทยาอาจจะมองว่ามีประโยชน์นั้นก็จริงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเป็นโรคร้ายบางอย่างได้ เพราะสัตว์จะนำเชื้อโรคที่ติดต่อคนได้มาสู่ตัวเรา หลายคนอาจจะมองว่าโอกาสที่เราจะไม่สบายจากการติดเชื้อโรคดังกล่าวนั้น จะมีค่อนข้างต่ำมากแค่ไหนก็ตาม แต่สำหรับเด็ก ๆ หรือคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันหรือว่าคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก็ควรจะต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นนี้ด้วย

ในที่นี้อาจจะไม่ได้จำกัดแค่การแชร์ที่นอนร่วมกับสัตว์เลี้ยงเท่านั้น เพราะเคยมีในกรณีที่ผู้ชายที่สุขภาพแข็งแรงคนหนึ่ง ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งสาเหตุก็มาจากสุนัขที่เลี้ยงอยู่เลียปากที่เป็นแผลร้อนใน แล้วยังมีเด็กติดกาฬโรคจากการนอนร่วมกับแมวที่มีเห็บอยู่เต็มไปหมด และมีกรณีอื่น ๆ อีกมากมายทีjเกิดขึ้น อย่างไรก็ดีการที่จะนำสัตว์มาเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดนั้น เราควรต้องคำนึงถึงตรงนี้ด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าข่าวนี้จะบอกว่าให้คุณเลิกเลี้ยงสัตว์ แต่อยากให้ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ทางแก้ที่พอจะช่วยได้บ้างก็อาจจะต้องดูแลสัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยงอยู่ให้สะอาด หมั่นนำไปพบสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมอควรจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้างให้เหมาะสม และที่สำคัญคุณต้องเป็นคนที่รักความสะอาดและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าคุณเลือกที่จะสัตว์เลี้ยงเหล่านี้มานอนเคียงข้างคุณ ข่าวนี้ไม่ได้บอกให้คุณเลิกเลี้ยงสัตว์ แต่ให้ตระหนักถึงอันตรายหากคุณเลือกจะนอนข้างมันเสียมากกว่า

ปฎิบัติตัวอย่างไรเมื่อเป็นโรคแพ้อากาศ

โรคแพ้อากาศหรือเรียกอีกชื่อว่าโรคภูมิแพ้จมูก เป็นโรคที่พบได้บ่อยกับทุกเพศทุกวัย อาการที่พบกับผู้ป่วยก็คือ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล มีเสมหะในคอ เลือดกำเดาไหลบ่อย และอาจจะพบอาการคันตา แสบตา คันหู หูอื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ฝุ่น ละอองเกสรของพืช ไรฝุ่น และขนสัตว์

วิธีที่ควรปฏิบัติเมื่อตนเองเป็นโรคแพ้อากาศ คือให้หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ตัวไรในฝุ่นเชื้อราในอากาศ แมลงสาบ ยุง แมลงวัน และมด โดยภายในห้องนอน ต้องจัดให้โปร่งโล่งสบายและมีเข้าของอยู่น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นที่กักเก็บฝุ่นและสะดวกในการทำความสะอาด ส่วนหมอนต้องนำมาตากแดดบ่อยๆ ผ้าห่มและผ้าปูที่นอนควรเปลี่ยนซักอยู่สม่ำเสมอ ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น แมว สุนัข มาเลี้ยงไว้ภายในบ้าน และที่สำคัญคือ พยายามหลีกเลี่ยงพวกละอองเกสรหญ้า วัชพืช และดอกไม้ทุกชนิด
ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานสดชื่น งดดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และต้องหมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ส่วนทางด้านจิตใจระวังอย่าให้เครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไป

สำหรับความรุนแรง ของโรคแพ้อากาศนั้นก็มีไม่มากนัก แต่การรักษาให้หายขาดนั้นทำได้ยาก หากสามารถควบคุมอาการของโรคไม่ดีพอ ก็อาจจะลุกลามกลายไปเป็นโรคหอบหืด จนอาจทำให้เสียชีวิต เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้ เมื่อเรารู้วิธีปฎิบัติตัวตามนี้แล้วก็สามารถลดอาการแพ้อากาศของเราไปได้มากเลย

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน