Showing posts with label วิธีป้องกัน. Show all posts
Showing posts with label วิธีป้องกัน. Show all posts

ปฎิบัติตัวอย่างไรไม่ให้นอนกรน


เสียงกรนเป็นเสียงที่น่ารำคาญสำหรับคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่เป็นอันตรายสำหรับคนที่นอนกรน ทราบหรือไม่ว่าการกรน (Snoring) เกิดจากกล้ามเนื้อคอคลายตัวขณะนอนหลับจนทำให้ช่องคอแคบลง ซึ่งส่งผลให้ต้องหายใจเข้าออกแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อทางเดินหายใจแคบลงจนถึงจุดหนึ่ง ความแรงของลมหายใจที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อภายในระบบทางเดินหายใจ ก็จะทำให้เกิดเสียงกรนตามมา นอกจากนี้การกรนยังเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการปิดกั้นของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อภายในระบบทางเดินหายใจ อย่าง ลิ้น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน คอ หรืออาจเกิดจากสารหล่อลื่นในระบบทางเดินหายใจลดลง ทำให้เกิดอาการแห้ง และบวม ทางเดินหายใจจึงแคบลง เมื่อหายใจจึงเกิดเป็นเสียงกรน

อัตราการกรนจะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะ ผู้สูงวัย คนอ้วน ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือโรคจมูกอักเสบ ผู้ที่ทำงานหักโหม หรือออกกำลังกายมากเกินไป นอกจากนี้การดื่มสุรา สูบบุหรี่จัด กินยานอนหลับก็จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรนได้ เพราะถ้าหากช่องคอแคบลงอีกเรื่อยๆ ก็จะส่งผลให้เกิดการอุดตันในช่องคอแบบชั่วคราว ทำให้ลมหายใจเข้าออกขาดหายไปชั่วขณะ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งหากใครมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะหากขืนปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจเป็นโรคอื่นๆ ตามมาได้อย่างเช่น โรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง อัมพาต ตลอดจนทำให้มีปัญหากับคนที่นอนใกล้ชิด

ปฎิบัติตัวอย่างไรไม่ให้นอนกรน
1. ควบคุมน้ำหนัก ความอ้วนจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนกรน เพราะไขมันที่ไปสะสมบริเวณช่องทางเดินหายใจ จะถูกเบียดให้เล็กลง โดยเฉพาะขมันที่สะสมอยู่บริเวณหน้าอกและท้องก็ยังเป็นภาระให้ร่างกายต้องหายใจหนักขึ้น และต้องใช้พลังงานในการหายใจมากขึ้น

2. การออกกำลังกาย ควรหมั่นออกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อที่ดึงรั้งช่องทางเดินหายใจมีความแข็งแรงขึ้น ขณะที่นอนหลับเนื้อเยื่อภายในปากจะได้ไม่หย่อนลงมาจนขัดขวางช่องทางเดินหายใจ

3. การจัดท่านอน การนอนตะแคงงอข้อศอก จะสามารถช่วยป้องกันการหายใจเข้าออกทางปากได้ เพราะมือข้างหนึ่งจะไปยันคางไว้เพื่อเป็นการปิดปาก นี่ก็เป็นอีกวิธีป้องกันไม่ให้นอนกรน

4. ยกศีรษะให้สูงขึ้น หากไม่สามารถนอนตะแคงได้จริงๆ ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นนอนหงายแล้วใช้หมอนเล็กๆ หนุนที่บริเวณหลังคอด้านบน ยกศีรษะให้สูงจากเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้นหย่อนลงไปในลำคอจนเกิดเสียงกรนได้

5. ควรดูแลรักษาที่นอนให้สะอาด เพื่อไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดหอบหืด ภูมิแพ้ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการกรน เช่น ไรฝุ่น เศษฝุ่น และเศษขนสัตว์

6. อย่าให้มีสิ่งกีดขวางในโพรงจมูก ควรทำความสะอาดช่องจมูกก่อนนอน จะช่วยให้ช่องจมูกเปิดโล่ง ลมผ่านเข้าออกได้อย่างสะดวก

7. เพิ่มระดับความชื้นในห้องนอน หากนอนในห้องที่มีอากาศแห้งเกินไป จะทำให้เยื่อบุต่างๆในระบบทางเดินหายใจพลอยแห้งตามไปด้วย บางรายอาจเกิดอาการบวมและทางเดินหายใจตีบแคบลง จนเกิดอาการนอนกรนในที่สุด

โรคเริมที่ปาก ( herpes labialis )


โรคนี้ถือได้ว่าเป็นโรคประจำตัวของเจ้าของบล๊อคนี้เลยค่ะ เป็นทีไรแทบไม่อยากออกจากบ้านไปพบปะกับผู้คนเลย รู้สึกอายมากๆ และกลัวคนอื่นเค้าจะรังเกียจด้วย เวลาเป็นเราก็จะซื้อยาที่ใช้สำหรับทาแผลในปากมาทาก็จะหายเหมือนกันแต่ใช้เวลานานเกือบเป็นอาทิตย์ เราอยากหายจากการเป็นโรคนี้มากเลย เราไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจึงทราบทำให้ทราบว่า เริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes จะมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆ เล็กบริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด

สาเหตุของโรคเริมที่ปาก เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อชนิดนี้ครั้งแรกอาจจะไม่แสดงอาการหรือเกิดตุ่มใส เพราะเชื้อนั้นจะไปยังปมประสาทแลจะะอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนเมื่อมีสภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะทำการแบ่งตัวและทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด และจะหายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใสขึ้น ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากก่อน สำหรับผู้ป่วยบางรายอาการครั้งแรกอาจจะรุนแรงเลย โดยจะมีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด หรือว่าถูกแสงแดดมากๆ เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคนี้เป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่สำหรับในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้

การติดต่อของเชื้อ จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง เช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมส่วนตัวร่วมกัน อย่างการใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากที่ได้รับเชื้อนี้ไปประมาณ 7-10 วัน อาการก็จะเริ่มออก คือจะรู้สึกแสบร้อนริมฝีปากและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย

พอเราอ่านเจอแบบนี้แล้วก็รู้เลยว่าโรคนี้จะอยู่กับเราจนกว่าเราจะตายนั่นแหละ เบื่อจริงๆ เลย แต่อย่างน้อยในการค้นหาข้อครั้งนี้ก็ไม่ถึงกับเปล่าประโยชน์ซะทีเดียว บังเอิญเราไปอ่านเจอกระทู้อยู่กระทู้หนึ่งที่เจ้าของเคยมีประสบเช่นเดียวกับเราและเค้ารู้จักวิธีป้องกันและวิธีรักษาให้หายเร็วขึ้น

วิธีป้องกัน ถ้าเราต้องอยู่ในที่ที่มีแสงแดดมากๆ ก็จะไปกระตุ้นให้เชื้อแสดงอาการออกมาได้ง่าย การทาลิปมันป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดก็จะสามารถช่วยได้

วิธีการรักษา ให้หายเร็วขึ้น ถ้าเรารู้สึกว่าจะเริ่มมีอาการให้รีบใช้น้ำแข็งจี้ตรงจุดที่เกิดอาการเป็นเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็จะสามารถช่วยลดอาการบวมของตุ่มอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นซื้อยา Vilerm มาทา ควรทาทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และทานยาแก้อักเสบวันละ 3 เวลา พอวันที่สองก็จะตกสะเก็ด วันที่สามหรือสี่ก็จะหายเป็นปกติและที่สำคัญที่สุดควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียดกับอาการที่เป็น ถึงแม้เราจะไม่หายขาดจากโรคนี้ซะทีเดียวแต่แค่นี้ก็พอจะให้เราอยู่กับเริมอย่างเป็นทุกข์น้อยลง

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน