Showing posts with label สาเหตุ. Show all posts
Showing posts with label สาเหตุ. Show all posts

โรคเก๊าท์ ( Gout )


"โรคเก๊าท์" เป็นโรคที่เกิดจากการที่มีระดับกรดยูริค ซึ่งกรดตัวนี้จะไปตกผลึกอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ โดยเฉพาะที่ข้อ บริเวณใกล้ข้อ และที่ไต โรคนี้อาจพบได้บ่อยหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็จะได้ประโยชน์มาก หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยอาจต้องพบกับการพิการทางข้อ หรือไตวายเรื้อรังได้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับผู้ชายในวัยประมาณ 40 ปี แต่ถ้าเกิดในวัยใดก็ได้ และสำหรับผู้หญิงที่เป็นเก๊าท์ มักจะปรากฏอาการหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว

สาเหตุของโรคเก๊าท์

จะเกิดจากกระบวนการใช้ และขับถ่ายสารจำพวกพิวรีนของร่างกายผิดปกติไป พิวรีนเป็นธาตุอาหารที่พบได้ในเนื้อสัตว์ ข้าวสาลี เครื่องในสัตว์ (ตับ, เซี่ยงจี้) เป็นต้น ซึ่งจะถูกย่อยจนกลายเป็นกรดยูริค และจะขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ซึ่งคนปกติกรดยูริคจะถูกสร้างขึ้นในอัตราพอดีที่ไตจะสามารถขับออกได้หมดทันกับการสร้างขึ้นมาใหม่ให้สมดุลย์ สำหรับบางรายที่กรดยูริคถูกสร้างขึ้น แต่ไตทำหน้าที่ขับถ่ายออกมาได้ช้า หรือเร็วก็ตามจะทำให้กรดยูริคเกิดการสะสมมากขึ้นในร่างกาย เป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บปวดอย่างรุนแรงในข้อกระดูกหรือรอบ ๆ ข้อกระดูก โรคนี้สามารถถ่ายทอดกันได้ทางกรรมพันธุ์

อาการของโรคเก๊าท์
ระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีข้ออักเสบเฉียบพลันเกิดขี้นเป็นๆ หายๆ เกิดอักเสบขึ้นทีละข้อ โดยจะเริ่มจากข้อที่บริเวณเท้าก่อน จะปวด บวม แดง ร้อนตามข้อ และอาจเจ็บรุนแรงจนถึงกับเดินไม่ได้ก็มี อาการปวดก็จะทิ้งช่วงระยะเวลาเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน หรือเป็นปีก็ได้ ซึ่งอาการปวดอาจจะเป็นข้อเดียวหรือหลายข้อพร้อมกันก็ได้ ข้อที่เป็นบ่อย เช่น ข้อเท้า ข้อหัวแม่เท้าหรือหัวข้อเข่า นอกจากอาการปวดตามข้อแล้วอาจมีอาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้เช่นกัน

วิธีการรักษาโรคเก๊าท์

โรคนี้หากเป็นแล้วโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้นั้นมีน้อยมาก โดยต้องได้รับการรักษาไปตลอดชีวิต ทั้งนี้เพราะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม วิธีที่จะช่วยได้ดีที่สุด คือ พยายามปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ และทานยาตามที่แพทย์สั่ง โดยการรักษาของแพทย์จะแบ่งได้เป็น 2 ระยะ

1. การรักษาในระยะเฉียบพลัน คือ ข้ออักเสบ โดยใช้ยาลดการอักเสบที่นิยมได้แก่ ยา โคลชิซิน (Colchicine) กินวันละไม่เกิน 3 เม็ด (เช่น 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ) จะทำให้ผู้ป่วยหายจากข้ออักเสบในเวลา 1-2 วัน อาจทำให้ข้ออักเสบหายเร็วขึ้น ถ้าใช้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ บางครั้งอาจมีผู้แนะนำให้กินยาโคลชิซิน 1 เม็ด ทุกชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด หรือจนกว่าจะท้องเสีย ซึ่งไม่แนะนำ เพราะผู้ที่กินยานี้ จะท้องเสียก่อนหายปวดเสมอ

2. การรักษาระยะยาว โดยใช้ยาลดกรดยูริคในเลือด โดยถือหลักการว่า ถ้าเราลดระดับยูริคในเลือดได้ ต่ำกว่า 7 มก./ดล. จะทำให้ยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกมา และขับถ่ายออกจนหมดได้ ยาที่นิยมใช้ได้แก่ ยา อัลโลพูรินอล (Allopurinol) ขนาด 100-300 มก. กินวันละครั้ง ซึ่งยานี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง กินยาสม่ำเสมอ และกินไปนานอย่างน้อย 3-5 ปี เพื่อกำจัดกรดยูริคให้หมดไปจากร่างกาย การกิน ๆ หยุด ๆ จะทำให้แพ้ยาได้ง่าย ซึ่งเป็นผื่นผิวหนังชนิดรุนแรง

โรคมะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer)


สำหรับผู้หญิงที่มักจะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด กินอะไรเข้าไปแล้วก็อิ่มง่าย จุกเสียด ปัสสาวะบ่อย ๆ ก็อย่าวางใจ นอกจากอาการเหล่านี้แล้วก็อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก เบื่ออาหาร และอาจมีเลือดออกในช่องคลอดร่วมด้วย คุณรู้หรือไม่ว่าคุณอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งรังไข่ได้ โดยทั่วไปแล้วโรคมะเร็งทุกชนิดจะเหมือนกันคือยิ่งทำการตรวจพบเร็ว การรักษาก็จะได้ผลดี สำหรับโรคมะเร็งรังไข่ก็เช่นกันมักจะวินิจฉัยได้ช้า เนื่องจากอยู่ภายในช่องท้อง และมักจะไม่มีอาการในช่วงระยะแรกของโรค แต่หากค้นพบแรกเริ่มจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากมีคนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคมะเร็งรังไข่มาก่อน ควรรีบไปทำการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งทุกปี เพราะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคดังกล่าวได้

สาเหตุโรคมะเร็งรังไข่ ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจริงๆ แล้วเกิดมาจากสาเหตุใด แต่จะพบเหตุส่งเสริมที่ทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ได้ ดังนี้คือ

1.สภาพแวดล้อม เช่น สารเคมี อาหาร เนื่องจากพบว่าในประเทศอุตสาหกรรมมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ มากกว่าประเทศเกษตรกรรม

2.สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้ หรือมีบุตรน้อย

3.ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร โอกาสเป็นมะเร็งรังไข่มีมากกว่าคนปกติ


ลักษณะอาการของโรคมะเร็งรังไข่

1. เริ่มแรกอาจไม่มีอาการ ซึ่งแพทย์ตรวจพบโดยบังเอิญ

2. มีอาการท้องอืดเป็นประจำ

3. มีลักษณะเป็นก้อนอยู่ในท้องน้อย

4. ปวดแน่นท้อง หากก้อนมะเร็งโตมากก็จะกดกระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ส่วนปลาย ทำให้ถ่ายปัสสาวะ หรืออุจจาระลำบาก

5. ในระยะท้าย ๆ อาจมีน้ำในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้นกว่าเดิม เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด

การวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่

1.การตรวจภายในอาจคลำพบก้อนในบริเวณท้องน้อย การคลำพบก้อนในรังไข่ได้ในสตรีวัยหมดประจำเดือน ควรนึกถึงมะเร็งรังไข่ไว้ด้วย (เพราะตามปกติวัยหมดประจำเดือน รังไข่จะฝ่อ)

2.การทำแปปสเมียร์จากในช่องคลอดส่วนบนทางด้านหลัง อาจพบเซลล์มะเร็งของรังไข่ได้

3.การตรวจด้วยเครื่องความถี่สูง อาจช่วยบอกได้ว่ามีก้อนในท้อง ในรายที่อ้วน หรือหน้าท้องหนามากคลำด้วยมือตามปกติจะตรวจไม่พบ

4.การผ่าตัดเปิดช่องท้อง และตรวจดูเป็นวิธีที่สำคัญ และแม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยโรคอย่างแน่นอน สามารถขริบ หรือตัดเอาเนื้อมาตรวจหาชนิดของมะเร็ง และทราบถึงระยะของโรคร้าย

การป้องกันโรคมะเร็งรังไข่

เนื่องจากการเป็นโรคมะเร็งรังไข่ในระยะแรก ๆ มักจะไม่มีอาการบ่งบอกให้ทราบ อีกทั้งยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดได้อย่างแท้จริง การป้องกันจึงทำได้ยากมาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ควรรับการตรวจภายใน หรือตรวจด้วยคลื่นความถี่สูงโดยแพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

สำหรับการรักษาจะทำด้วยวิธีการผ่าตัดซึ่งจะเป็นวิธีแรกที่แพทย์จะเลือกทำการรักษา ถ้าไม่สามารถตัดออกได้หมด เนื่องจากโรคได้กระจายออกไปมากแล้ว แพทย์จะพยายามตัดส่วนที่เป็นออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะให้การรักษาต่อด้วยเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด

ข้อมูลจาก www.healthcorners.com

อาการปวดไหล่


อาการปวดไหล่ที่พบได้บ่อยจะมีอยู่ 2 ชนิด
1. ชนิดเฉียบพลัน มักจะเป็นอาการปวดไหล่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่จะเป็นการปวดแบบชั่วคราว เมื่อรับการรักษาก็จะเห็นผลได้เร็ว
2. ชนิดเรื้อรัง อาการปวดไหล่ชนิดนี้มักจะเป็นๆ หายๆ และจะเป็นได้นาน การรักษาไม่ค่อยจะได้ผลที่แน่นอน

สาเหตุของการปวดไหล่ที่พบได้บ่อย
1. เกิดจากเอ็นอักเสบ เอ็นมีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างกระดูกกับกล้ามเนื้อ เมื่อเอ็นบริเวณนั้นได้รับการกระทบกระเทือนหรือมีการออกแรงมากเกินไป มักจะเกิดการฉีกขาด และมีการอักเสบร่วม ทำให้รู้สึกปวดมากเมื่อมีการเคลื่อนไหวไหล่ ในบางรายไม่สามารถเคลื่อนไหวไหล่ได้เลย อาการเช่นนี้มักเกิดกับนักกีฬา หรือคนทำงานแบกหาม
2. เกิดจากกล้ามเนื้อและเอ็นเสื่อมสภาพ มักพบมากในผู้สูงอายุ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่ใช้มานานจะเสื่อมสภาพลง ส่วนที่พบบ่อยที่สุดคือ กล้ามเนื้อและเอ็นที่มีหน้าที่หมุนหัวไหล่ หรือที่เรียกว่า Rotator Cuff
3. เกิดจากถุงหุ้มข้ออักเสบ ถุงหุ้มข้อเป็นอวัยวะที่อยู่ระหว่างกระดูก เอ็น กล้มเนื้อ มีหน้าที่ลดการเสียดสีระหว่างกระดูกและอวัยวะดังกล่าว เมื่อถุงหุ้มข้อได้รับแรงกระแทกมากเกินไป ถุงหุ้มข้อที่ลื่นและช่วยหล่อลื่นข้อจะเกิดการอักเสบ เกิดการฝืด ทำให้ข้อไหล่เคลื่อนไหวผิดปกติ หรือเคลื่อนไหวไม่ได้
4. เกิดจากข้ออักเสบ เป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นในข้อไหล่ เนื่องจากมีการแตกของกระดูกอ่อนที่คลุมข้อ ทำให้เกิดอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้ลำบาก
5. เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับข้อไหล่ แต่เนื่องจากข้อไหล่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทและกระดูกคอ ดังนั้นหากมีเส้นประสาทที่อยู่ใกล้ข้อไหล่อักเสบ หรือกระดูกต้นคอทับเส้นประสาท ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดไหล่ได้เช่นกัน

วิธีรักษาอาการปวดไหล่เบื้องต้นด้วยตัวเอง
1. ควรพักการใช้ข้อไหล่ เมื่อไม่ให้มีการขยับเขยื้อนไหล่ ซึ่งจะทำให้การปวดไหล่ที่เกิดจากสาเหตุการอักเสบดีขึ้น แต่ไม่ควรพักนานเกินไป อาจทำให้เกิดข้อไหล่ติดได้
2. ควรประคบเย็น กรณีที่ปวดไหล่เฉียบพลันภายใน 24 ชม. การประคบเย็นจะช่วยลดอาการปวดบวมของไหล่ได้ หากปวดนานเกิน 24 ชม. การประคบร้อนจะช่วยลดอาการปวดบวมของไหล่ได้เช่นกัน การประคบร้อนควรหลีกเลี่ยงในรายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อบริเวณข้อ
3. ใช้ยาแก้ปวด ควรปรึกษาเภสัชกรในการเลือกใช้ยา ซึ่งจะได้ผลในกรณีที่มีการอักเสบเกิดขึ้น แต่จะไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อย ถ้าอาการปวดไหล่เกิดจากการเสื่อมสภาพทางข้อไหล่

หากรักษาด้วยวิธีเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาในเชิงลึกอย่างถูกต้องต่อไป

อาหารที่ทำให้นอนไม่หลับ


สำหรับคนที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ หรือนอนหลับยากแบบหาสาเหตุไม่เจอ คุณรู้หรือไม่ว่าอาหารที่เราทานอยู่ทุกวันนี้มีส่วนที่ทำให้เราเกิดอาการนอนไม่หลับได้เช่นกัน อาหารที่ทำให้เรานอนหลับยาก ได้แก่ อาหารที่มีส่วนประกอบของสารไทรามีน (Tyramine) ซึ่งสารตัวนี้จะไปยับยั้งสารเคมีในสมองอย่างสารนอร์เอพิเนฟรีน (nor epinephrine ) ซึ่งทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ สารไทรามีนมักจะพบในอาหารประเภท เบคอน ซีส ช๊อคโกแลต แฮม ไส้กรอก มันฝรั่งและมะเขือเทศ ดังนั้นเราควรลดปริมาณการทานอาหารประเภทนี้ลง และควรเลือกทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง อาหารจำพวกธัญพืชไม่ขัดขาว เพราะถ้าทานอาหารประเภทนี้นี้มื้อเย็น จะช่วยให้ใช้เวลาาในการย่อยไม่มาก ทำให้เรานอนหลับเป็นปกติดี

โรคท้องผูก (Constipation)


โรคท้องผูก ถือได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพปัญหาหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม โรคท้องผูกเป็นปัญหาใหญ่ที่มักเกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย และขาดการออกกำลังกาย ซึ่งท้องผูกมีลักษณะอาการอยู่ 2 แบบ คือ ท้องผูกแบบอ่อนแรง จะทำให้ลำไส้ไม่มีแรงบีบตัว เกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย และดื่มน้ำน้อยหรืออาจเกิดจาการออกกำลังกายไม่เพียงพอ อีกแบบคือท้องผูกแบบหดเกร็ง ท้องผูกแบบนี้จะพบว่าลำไส้บีบตัวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ขับถายผิดปกติ อาจเกิดจากปัญหาทางด้านจิตใจหรือระบบประสาท สูบบุหรี่จัด หรือกินอาหารที่ทำให้ลำไส้ระคายเคือง

สาเหตุของท้องผูก
เกิดจากการอั้นอุจจาระเป็นประจำ ทำให้เสียนิสัยการถ่าย เพราะเมื่ออุจจาระไปรอที่ปลายลำไส้ใหญ่แล้ว จะมีกระแสประสาทไปเตือนให้เกิดการขับถ่าย แต่เมื่ออั้นไว้บ่อยๆ เข้าก็จะทำให้อุจจาระไปสะสมในลำไส้ใหญ่นานเกินไป น้ำในอุจจาระจะถูกดูดกลับไปมากเกิน ทำให้อุจจาระแห้งแข็ง อีกสาเหตุก็เพราะทานอาหารที่มีกากใยอาหารน้อยเกินไป ไม่มีการออกกำลังกาย กินแล้วก็นั่งๆ นอนๆ ดื่มน้ำในปริมาณน้อยเกินไปในแต่ละวัน และความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเช่นกัน เพราะถ้าปล่อยให้ตัวเองเครียดมากๆ ก็ทำให้ท้องผูกได้เช่นกัน

วิธีที่ไม่ให้ท้องผูก
1. ดื่มน้ำสะอาดให้ได้ 1-2 ลิตรต่อวัน
2. ควรฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ควรเข้าห้องน้ำทันทีเมื่อรู้สึกปวดถ่าย ไม่ควรรอหรืออั้นไว้เพราะยิ่งถ้าปล่อยไว้นานจะยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก
3. ควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย วันละ 30 นาที
4. หลีกเลี่ยงอาหารที่กากใยน้อย เช่น เนยแข็ง ชีส ไอศครีม เนื้อวัว ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท ชา กาแฟและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมาก
5. เลือกทานอาหารที่มีใยอาหาร เช่นผักและผลไม้ต่างๆ ที่มีอยู่ตามฤดูกาล เพราะใยอาหารจะทำให้เนื้ออุจจาระอุ้มน้ำมากขึ้น ควรเริ่มทานในปริมาณ 20-30 กรัมต่อวัน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นในทุกๆ สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวจะได้ไม่เกิดอาการท้องอืด ในบางรายที่ไม่ชอบทานผัก หรือชอบทานผักแต่ไม่สามารถเคี้ยวผักให้ละเอียดได้เนื่องจากสุขภาพฟันไม่ดีเช่นเช่นผู้สูงอายุ สามารถทดแทนด้วยอาหารเสริมทดแทนผัก ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เช่น ผักเม็ด หรือ ผักอัดเม็ด จากโครงการหลวง ที่ทำจากผักสดโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี สามารถรักษาคุณค่าทางสารอาหารและกากไยได้เหมือนกับผักสด ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
6. ไม่ควรเลือกใช้ยาระบายในการช่วยให้ขับถ่ายได้ง่าย


โรคเริมที่ปาก ( herpes labialis )


โรคนี้ถือได้ว่าเป็นโรคประจำตัวของเจ้าของบล๊อคนี้เลยค่ะ เป็นทีไรแทบไม่อยากออกจากบ้านไปพบปะกับผู้คนเลย รู้สึกอายมากๆ และกลัวคนอื่นเค้าจะรังเกียจด้วย เวลาเป็นเราก็จะซื้อยาที่ใช้สำหรับทาแผลในปากมาทาก็จะหายเหมือนกันแต่ใช้เวลานานเกือบเป็นอาทิตย์ เราอยากหายจากการเป็นโรคนี้มากเลย เราไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจึงทราบทำให้ทราบว่า เริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes จะมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆ เล็กบริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด

สาเหตุของโรคเริมที่ปาก เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อชนิดนี้ครั้งแรกอาจจะไม่แสดงอาการหรือเกิดตุ่มใส เพราะเชื้อนั้นจะไปยังปมประสาทแลจะะอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนเมื่อมีสภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะทำการแบ่งตัวและทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด และจะหายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใสขึ้น ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากก่อน สำหรับผู้ป่วยบางรายอาการครั้งแรกอาจจะรุนแรงเลย โดยจะมีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด หรือว่าถูกแสงแดดมากๆ เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคนี้เป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่สำหรับในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้

การติดต่อของเชื้อ จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง เช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมส่วนตัวร่วมกัน อย่างการใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากที่ได้รับเชื้อนี้ไปประมาณ 7-10 วัน อาการก็จะเริ่มออก คือจะรู้สึกแสบร้อนริมฝีปากและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย

พอเราอ่านเจอแบบนี้แล้วก็รู้เลยว่าโรคนี้จะอยู่กับเราจนกว่าเราจะตายนั่นแหละ เบื่อจริงๆ เลย แต่อย่างน้อยในการค้นหาข้อครั้งนี้ก็ไม่ถึงกับเปล่าประโยชน์ซะทีเดียว บังเอิญเราไปอ่านเจอกระทู้อยู่กระทู้หนึ่งที่เจ้าของเคยมีประสบเช่นเดียวกับเราและเค้ารู้จักวิธีป้องกันและวิธีรักษาให้หายเร็วขึ้น

วิธีป้องกัน ถ้าเราต้องอยู่ในที่ที่มีแสงแดดมากๆ ก็จะไปกระตุ้นให้เชื้อแสดงอาการออกมาได้ง่าย การทาลิปมันป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดก็จะสามารถช่วยได้

วิธีการรักษา ให้หายเร็วขึ้น ถ้าเรารู้สึกว่าจะเริ่มมีอาการให้รีบใช้น้ำแข็งจี้ตรงจุดที่เกิดอาการเป็นเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็จะสามารถช่วยลดอาการบวมของตุ่มอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นซื้อยา Vilerm มาทา ควรทาทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และทานยาแก้อักเสบวันละ 3 เวลา พอวันที่สองก็จะตกสะเก็ด วันที่สามหรือสี่ก็จะหายเป็นปกติและที่สำคัญที่สุดควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียดกับอาการที่เป็น ถึงแม้เราจะไม่หายขาดจากโรคนี้ซะทีเดียวแต่แค่นี้ก็พอจะให้เราอยู่กับเริมอย่างเป็นทุกข์น้อยลง

รู้หรือไม่ว่าสามารถเช็คสุขภาพหัวใจได้ที่เส้นรอบเอว


เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โรคหัวใจนั้นเกิดจากปัจจัยเสี่ยงอยู่หลายประการอาทิ การสูบบุหรี่ ความเครียด ความดันโลหิตสูง ฯลฯ แต่บางคนยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีความเสี่ยงจะเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า เรามีวิธีการง่ายๆที่จะสามารถเช็คความเสี่ยงจากโรคหัวใจของตัวเองได้ ด้วยการวัดเส้นรอบเอวของตัวเราเอง

ในหนังสือประชาชาติธุรกิจ ได้มีบทความบทหนึ่งของ ศ.น.พ.ปิยะมิตร ศรีธรา หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ว่าปัจจุบันมีคนไทยป่วยด้วยโรคหัวใจได้เข้ารับการรักษาปีละกว่า 60,000 คน มีอัตราเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนถึง 50% ทั้งนี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป

เวลานี้ได้มีข้อมูลใหม่ที่ระบุว่า การที่มีเอวใหญ่จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเกิดขึ้นทันที!เพราะเส้นรอบเอวที่ใหญ่ขึ้น นั่นหมายถึงปริมาณไขมันในช่องท้องมีมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่าตัว แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เอวของเราใหญ่เกินไปหรือไม่...

ได้มีวิธีคำนวณแบบง่ายๆ โดยเอาความสูงของตัวเองมาหาร 2 ถ้าผลลัพธ์ที่ได้น้อยกว่าเส้นรอบเอว ก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีเอวใหญ่แล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้เอวใหญ่ขึ้น ก็เกิดมาจากพฤติกรรมการกิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากการกินแป้งและน้ำตาลในปริมาณมากเกินไป หลายคนอาจจะคิดว่าตัวเองได้ระวังเรื่องการรับประทานอาหารเหล่านี้แล้ว แต่ก็หลงลืมไปว่า อาหารหลายชนิดที่เรารับประทานเข้าไปนั้นได้มีน้ำตาลแฝงตัวอยู่ โดยเฉพาะเครื่องดื่มและผลไม้บางชนิด

สำหรับน้ำมันนั้นหลายคนคิดว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการอ้วน แต่ยังมีน้ำมันอีกหลายชนิดที่เราสามารถบริโภคได้ โดยเฉพาะน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณที่สูง เช่น น้ำมันงาน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโบนาล่าฯลฯ ซึ่งน้ำมันเหล่านี้มีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ส่วนน้ำมันที่มีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวสูงเช่น น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าวกลั่นเย็นที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ถือว่ายังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันได้ว่า การทานน้ำมันชนิดนี้แล้วจะดีต่อร่างกาย ดังนั้น จึงควรพิจารณาให้รอบคอบในการเลือกซื้อมาไว้บริโภค

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต เพราะขนาดรอบเอวที่สมส่วนจะสัมพันธ์กับหัวใจที่แข็งแรง เพราะเส้นรอบเอวที่ใหญ่ขึ้น นั่นหมายถึงไขมันในช่องท้องมีมากขึ้นซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากกว่าปกติได้ถึง 2 เท่า

 
Design by Pitchaya.net | Bloggerized by สูตรอาหาร | ขายลำไยอบแห้ง ลองกานอยด์ Health Lover นิ้วล็อค สารสกัดงาดำ เอมมูร่า เซซามิน